วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วิธีจำชื่อเต็มของ "กรุงเทพมหานคร" (tipbkk)

ต่อไปนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องเมืองกรุงเทพฯ กันบ้าง สิ้นปีแล้ว ผมจึงแนะนำวิธีการจำชื่อเต็มของกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยมาฝากครับ


ชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครมีชื่อเต็มว่า


"กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"


ทีแรกผมก็จำชื่อเต็มแบบนี้ไม่ได้ เช่นกัน จนกระทั่งมารู้จักกับเพลง "กรุงเทพมหานคร" ที่ขับร้องโดยอัสนี-วสันต์ ซึ่งเอาชื่อเต็มของกรุงเทพมาร้องเป็นทำนองเพลงเช่นนี้ครับ (คลิปเพลงโดนลบไปแล้วครับ T_T) 
และเพลงนี้เองที่ทำให้ผมสามารถจำชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครได้ ด้วยการฝึกร้องเพลงนี้ซ้ำ ๆ หลายครั้ง เพราะเนื้อร้องเพลงนี้มีแต่ชื่อเต็มของเมืองกรุงเทพที่ร้องซ้ำไปซ้ำมาจนจบเพลง เมื่อผมร้องเพลงนี้จนคล่องแล้ว ทำให้ผมจำชื่อเต็มของกรุงเทพได้ทั้งหมดแล้วครับ





แต่บางที เราอาจจะจำแบบนี้ก็ได้ (ซึ่งแบ่งวรรคตามเพลง)
"กรุงเทพมหานคร 
อมรรัตนโกสินทร์ 
มหินทรายุธยามหาดิลก-
-ภพ นพรัตนราชธานีบูรี-
-รมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน 
อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"


แต่เวลาพูดนี่ก็ระวังเรื่องการแบ่งวรรคซักนิดหนึ่ง ตรง "มหินทรายุธยามหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์" เพราะเพลงจะร้องแบบแยกวรรค แต่เป็นอันว่า ขอให้เราจำชื่อเต็มทั้งหมดได้ก็ใช้ได้


เอาล่ะ ใครยังจำชื่อเต็มไม่ได้ ลองใช้วิธีร้องเพลงนี้ดู ร้องคล่องแล้วลองไม่ดูเนื้อเพลงนะ ถ้าฝึกร้องเพลงนี้บ่อย ๆ รับรองจะจำชื่อเต็มของกรุงเทพได้แน่นอน!!


ส่วนใตครอยากรู้เรื่องที่มาที่ไป ให้เชิญอ่านได้ที่นี่ครับ
ราชบัณฑิตยสถาน: กรุงเทพมหานคร

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8

กลับมาอีกครั้งครับ สำหรับบทความนี้ ผมตั้งใจจะโพสตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ แต่ช่วงนั้นเลือดกำเดาไหลออกมาก็เลยต้องพักผ่อนครับ วันนี้ผมเขียนบล็อกอยู่ที่ร้านลานระบุจังหวัดพะเยาครับ เพื่อไม่ให้เสียเวลาเกริ่นนำ มาเข้าเรื่องเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามกันเลยครับ





ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา เทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 ได้เริ่มขึ้นแล้ว ซึ่งครั้งนี้มาพร้อมกับการฉลองสมโพช 750 ปีเมืองเชียงรายที่จะจัดขึ้นในปลายเดือนมกราคมครับ ภายในงานอากาศก็ดีด้วยครับ สำหรับงานนี้ก็จัดขึ้นที่สวนไม้งามริมแม่น้ำกกเช่นเดียวกันกับปีที่แล้วครับ





สำหรับคนที่ยังไม่เคยมางานนี้ ผมก็จะเล่าให้ฟังคร่าว ๆ งานนี้มีอะไรบ้าง แน่นอนล่ะครับ งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามก็ต้องมี "ดอกไม้" เป็นจุดเด่นที่สุดของงาน ภายในงานจะจัดสวนดอกไม้นานาพันธุ์ ซึ่งจะเบ่งบานความสวยงามมาให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ชมและถ่ายรูปกันครับ 







ใช่ว่างานนี้จะเอาแค่ดอกไม้มาตั้งวางเฉย ๆ งั้นเหรอ คงจะไม่เป็นแบบนั้นแน่อนครับ เพราะในงานยังเอาดอกไม้มาจัดแต่งเป็นสิ่งต่าง ๆ ดังเช่นรูปด้านบนนี้คืออุโมงค์ดอกไม้ ซึ่งจะเอาดอกไม้มาทำเป็นอุโมงค์ให้คนลอดเข้าลอดออกและถ่ายรูปได้ครับ





และตรงนี้คือป้านงานเทศกาลที่จัดขึ้นด้วยดอกไม้ต่าง ๆ ซึ่งเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวแห่กันมาถ่ายรูปครับ



ในครั้งนี้ มีคอนเซปอีกอย่างหนึ่งคือ ร่วมฉลองสมโพช 750 ปีเมืองเชียงราย ซึ่งเสาใหญ่ตรงนั้นประดับคำว่า "ชร 750 ปี" ซึ่งสื่อถึง สมโพช 750 ปีเมืองเชียงราย นั่นเองครับ ดูไกล ๆ แล้วอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นหลักกิโลเมตรนะครับ (หัวเราะ)





และนี่คือ ประติมากรรมนาฬิกาดอกไม้ ซึ่งอยู่ถัดจากสวนเทิดพระเกียรติและลานน้ำพุครับ จะเป็นนาฬิกาเรือนใหญ่และเดินได้จริงนะครับ ที่สำคัญ นาฬิกาดอกไม้เรือนนี้จะใช้ในงานนับถอยหลังสู่วันปีใหม่ 2555 ด้วยครับ





นี่คือเนื้อหาคร่าว ๆ ในงานนะครับ และวันที่ผมเข้าไปในวันแรก คนเยอะทีเดียวเชียวล่ะ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เข้าไปนั้น ล้วนไปชมดอกไม้ ถ่ายรูปดอกไม้สวย ๆ งาม ๆ ครับ






ภายในงานก็มีเจ้าหน้าทีอาสามาคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวตามจุดต่าง ๆ หลาย ๆ ที่ ซึ่งพร้อมที่จะให้บริการข้อมูลเรื่องสถานที่ต่าง ๆ ในงานเทศกาลครับ





ในวันแรกที่เข้าไปนั้น ผมรู้สึกว่าดอกไม้บางส่วนยังไม่พร้อมที่จะทำงาน (ฮา) ถ้ามาในช่วงปีใหม่ก็จะบานสะพรั่งครับ  และในรูปก็เป็นส่วนหนึ่งของสวนดอกไม้ในงานครับ





ในวันนั้นมีแข่งประกวดวาดภาพศิลปะ ซึ่งวาดตามมุมสวนดอกไม้ภายในงานครับ





และนี่คือตัวอย่างภาพที่วาดเสร็จแล้ว สวยเหมือนสวนจริงหรือเปล่า





จะว่าไปแล้ว ถ้ามางานนี้ก็ต้องถ่ายดอกไม้ ผมก็ลองถ่ายระยะใกล้ดู เป็นไงครับ สวยมั้ย?





พอเที่ยวงานได้นานพอควร อาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าแล้ว ถึงตาเราจะมองแบบนั้นไม่ได้ แต่กล้องสามารถถ่ายได้แบบนี้ครับ 



อ๊ะ ๆ ถ้าจะมางานนี้ มาแค่ชมสวนดอกไม้อย่างเดียวไม่ได้นะ!! เพราะในงานไม่ได้มีแค่สวนดอกไม้อย่างเดียว ยังมีรถขบวนรถบุปผาชาติ มีหมู่บ้านชนเผ่า มีการจัดจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นของเชียงรายและทั่วจังหวัดมาจำหน่าย และมีเวทีลานเบียร์ด้านหลังสวนดอกไม้ครับ ซึ่งวันนั้นเกิดอุบัติเหตุทางสุขภาพของผมคือเลือดกำเดาไหล ก็เลยไปพักที่ศูนย์ปฐมพยาบาลครับ



ในงานวันแรกที่ผมไปนั้น อย่างน้อยผมก็ได้ไปดูพิธีเปิดงานเทศกาลอย่างเป็นทางการซึ่งจะจัดงานแสดงแสงสีเสียงในงานครับ

เมื่อกี๊ผมพูดมายาวพอสมควร ถ้าอยากจะไปงานนั้น ไปได้ยังไง สำหรับงานนี้จัดขึ้นที่สวนไม้งามริมฝั่งแม่น้ำกก ซึ่งตรงข้ามกับโรงเรียนเทศบาล 6 สลากกินแบ่งรัฐบาล ถนนเวียงบุรพา วิธีการเดินทางจากอนุสาวรีย์พญามังราย ให้เดินทางไปตามเส้นถนนหมายเลข 1232 หรือถนนพ่อขุน ขับผ่านสนามกีฬากลาง จนกระทั่งเจอ 4 แยก ให้เลี้ยวซ้ายไปยังถนนเวียงบุรพา ข้ามสะพานเฉลิมพระเกียรติ์ ก็จะถึงงานซึ่งจะจัดด้านขวามือ แต่ถ้าผมอธิบายแล้วไม่เข้าใจ ไม่ต้องกังวลครับ เพราะทางจังหวัดทำป้ายบอกทางไปงานให้ไปได้ถูกแล้วครับ




ก่อนจบบทความในครั้งนี้ ผมแนะนำของฝากสองอย่างนะครับ นั่นก็คือ ซีดีเพลง "ดอกไม้งามที่เชียงราย เรื่องในโอกาสเมืองเชียงราย 750 ปี" ซึ่งขับร้องโดยวงพิงค์แพนเตอร์ ราคา 150 บาทครับ 

และถ้ามาที่ซู้มขายผลิตภันฑ์ท้องถิ่น ก็จะพบกับซุ้มขายเสื้อฉลองครบรอบ 750 ปีเมืองเชียงราย ซึ่งมีเสื้อหลายแบบหลายขนาดให้เลือกซื้อกัน แต่น่าเสียดาย ไม่มีรูปให้ดูครับ ที่ซุ้มนี้ยังมีปฏิทินภาพวาดพญามังรายแจกฟรีด้วยครับ

งานนี้ผมไปเที่ยวแล้วคุ้มมากครับ แต่เดินไม่ทั่วทั้งงาน ก็เลยตัดสินใจว่า ผมจะไปเที่ยวในงานนั้นอีกครั้งเพื่อเก็บรูปมาฝากครับ และถ้ามีรายละเอียดเพิ่มเติม ผมมาเขียนต่อภาคสองสำหรับงานดอกไม้งามที่เชียงรายนะครับ

ถ้าใครได้ดูทีวี ก็จะเห็นโฆษณาของงานนี้ด้วยนะครับ (credit:tanagrid7)

สำหรับงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2554 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2555 ใครอยู่เชียงรายตอนนี้ ให้รีบไปสัมผัสงานเลยครับ ไปกลางวัน ได้ดูดอกไม้ ไปกลางคืนได้ชมชิมช็อปครับผม


หนาวนี้ที่เชียงราย ร่วมฉลอง 750 ปีเมืองเชียงรายกับงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 นะครับ

วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ย้อนความทรงจำเมื่อตอนไปเที่ยวสุพรรณบุรี


สำหรับการไปเที่ยวสุพรรณบุรีของผมในตอนนั้น อยู่ในช่วงเรียนที่กรุง
เทพฯ ครับ พอสอบเสร็จ ปิดเทอม ผมก็เลือกที่จะไปเที่ยวสุพรรณบุรีครับ ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ ราวๆ 100 กว่ากิโลเมตรนั่นเอง ตั้งแต่เรียนมาปี 1 จนกระทั่งจบการศึกษา ผมได้ไปสุพรรณบุรีมีแล้ว 3 ครั้งด้วยกันครับ





เสน่ห์ของจังหวัดสุพรรณบุรีที่ทุกคนรู้จักกันดีคือ เป็น "เมืองคนเหน่อ" ซึ่งผมก็ชอบมากเหมือนกัน และในใจก็อยากจะมีเพื่อนเป็นชาวสุพรรณบุรีด้วยครับ ถ้าผมไปต่างจังหวัดทั้งที ไม่ได้แค่ไปชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเท่านั้นนะครับ แต่ผมก็อยากจะไปเห็นวิถีชีวิตของคนในท้องถิ่นเช่นกันครับ


สำหรับการไปเที่ยวสุพรรณบุรี 3 ครั้งในตอนนั้น ผมเจออะไรมาบ้าง ผมจะเล่าประสบการณ์แบบย่อๆ แล้วจะมาเขียนแบบเต็ม ๆ ภายหลังครับ


ในครั้งแรก ตื่นเต้นสุด ๆ ที่จะได้ไปสุพรรณบุรีเป็นครั้งแรก ครั้งนั้นผมไปวันที่ 20 - 21 มีนาคม 2553 สถานที่ ๆ ไปคือ ตลาดสามชุก หอคอยบรรหาร พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร และวัดป่าเลยไลยก์ครับ ครั้งนั้นต้องไปพักค้างคืนที่โรงแรม 1 คืนครับ แต่รูปถ่ายครั้งแรกอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงไม่ได้เอามาให้ดู ก็เลยไม่มีรูปให้ดูครับ


ในตอนที่ผมไปสามชุกครั้งนั้นเป็นอะไรที่ประทับใจมากครับผู้คนก็เป็นมิตรและช่วยเหลือกันดีมากครับ และเจอเรื่อง FAIL ของผมด้วยนั่นเองครับ


ในตอนนั้น ผมก็พยายามจะฟังสำเนียงชาวสุพรรณในระหว่างเที่ยว และประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมได้ไปนอนโรงแรมตอนนั้น เจ้าหน้าที่โรงแรมก็ช่วยหาห้องพักให้ผม ซึ่งผมได้เลือกห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่ และก็ได้ยินพนักงานโรงแรมพูดถึงห้องพักว่า "แอร์ไหม้"


หา!! แอร์ไหม้!?! ผมก็งงล่ะทีนี้ เลยไปถามอีกที ที่ไหนได้ เขากำลังจะบอกว่า "แอร์ใหม่" แต่ด้วยสำเนียงของเขาทำให้ผมได้ยินเป็น "แอ๋ไหม้" และตอนนั้นผมก็ขำและนึกในใจว่า นั่นไง โดนเข้าแล้ว หลังจากนั้น ก็นอนคืนหนึ่ง แล้วไปเที่ยวในส่วนที่เหลือและก็จบการเดินทางครับ





ครั้งที่สอง ก็อยู่ในช่วงปิดเทอมเช่นกัน ไปเที่ยว 3 วัน 2 คืน วันที่ 25 - 27 กันยายน 2553 นอกจากจะไปสถานที่ต่าง ๆ เหมือนครั้งแรกแล้ว คราวนี้ไปอำเภออู่ทอง ไปเดินเล่นแถวตลาดและพักผ่อนในอู่ทอง 1 คืน วันแรกที่ไปนั้น ผมก็เริ่มจากตลาดสามชุกก่อน จากนั้นก็ไปที่ดอนเจดีย์ แล้วก็มาพักที่อู่ทองครับ ในตอนนั้นหารถไปได้ลำบากมาก แต่ในที่สุดก็มาถึงที่หมายได้สำเร็จ








พอวันที่สองต่อมา มีงานเทศกาลเที่ยวไทย 5 ภาคซึ่งจัดที่จังหวัดสุพรรณบุรีด้วย แต่ก่อนหน้านั้น ผมเข้าเมืองไปเที่ยววัดพระนอน เป็นนึ่งในวัดที่ติดกับแม่น้ำท่าจีนด้วย หลัก ๆ คือผมจะไปเที่ยววัดที่มี "วังมัจฉา" ไม่รู้อยู่ตรงไหน แต่ก็รู้จักตรงที่วัดนี้แหละครับ ตอนนั้นผมไม้ได้เอะใจอะไร เพียงแต่ว่าผมอยากจะมาไหว้พระ และมาให้อาหารปลา แต่ที่ผมประหลาดใจกับสิ่งที่เห็นเป็นครั้งแรกก็ตรง "วัดพระนอน" นี่แหละครับ





ทีแรก ก็คิดว่าเป็นวัดพระนอนธรรมดานี่แหละ พอเข้าไปถึง อ้าว! ไหนล่ะพระนอน พอก้มลงอีกที อ้าว!! วัดพระนอน... นอนหงายนั่นเอง และจากนั้นผมก็ไหว้พระและไปให้อาหารปลา ก่อนที่จะเข้าร่วมงานเที่ยวทั่วไทย 5 ภาคในตอนนั้นครับ


และวันที่สาม ผมเข้าไปใน พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร ซึ่งเป็นการท่องแดนมังกรและประวัติศาสตร์และความเชื่อของประเทศจีน ซึ่งข้างในนั้นอลังการมาก เป็นอันว่าเดี๋ยวผมจะมาเล่าอย่างละเอียดในตอนต่อไปครับ แล้วครั้งที่สองก็เสร็จสิ้นลง และกลับกรุงเทพฯครับ





การเที่ยวสุพรรณบุรีครั้งที่สาม (วันที่ 26-28 กุมภาพันธ์ 2554) ผมเลือกไปบึงฉวาก ซึงเป็นแหล่งรวมปลาน้ำจืดน้ำเค็ม ฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์ต่าง ๆ การเดินทาง ผมนั่งรถมาถึงตลาดท่าช้าง เสร็จแล้วก็ต่อรถจักรยานยนต์รับจ้างมาถึงบึงฉวาก และก็ได้ดูสัตว์ต่าง ๆ ที่เขาจัดแสดงให้ครับ เสร็จแล้ว ก็ลงไปตลาดสามชุก และลงไปพักแรมที่อำเภอเมือง แต่ขอบอกก่อนเลยว่า การไปเที่ยวครั้งที่สามของผมนี้หลากหลายอารมณ์มาก


ส่วนวันที่สอง ผมไปวัดไฝ่โรงวัว ตอนนั้นฟ้าสลัวเหมือนฝนจะตก แต่ก็อากาศเป็นใจ ซึ่งวัดนี้ได้จำลองสถานที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพานไว้ในที่เดียว และมีองค์พระองค์ใหญ่อย่างที่เห็นในภาพครับ และมีสถานที่จำลองนรกด้วยครับ


ในวันนั้นผมจะไปตลาดเก้าห้องวันนั้น แต่รถท้องถิ่นออกช้ามาก ผมจึงต้องไปขึ้นหอก่อน ก็เลยเลื่อนการเดินทางไปตลาดเก้าห้องในวันจันทร์ ซึ่งทำได้แค่ดูบ้านเรือนเฉย ๆ เท่านั้นครับ แต่อย่างไรก็ตาม การเที่ยวสุพรรณบุรีครั้งที่สามก็ยังคุ้มค้าเหมือนเดิม เป็นอันว่า แต่ละครั้งผมเจออะไรมาบ้าง และตอนหน้าจะมาเล่าประสบการณ์แต่ละครั้งอย่างละเอียดครับ

(ประเดิม) เชียงราย: นั่งรถรางแอ่วเมือง เล่าขาน 9 ตำนานนครเชียงราย


ประเดิมบทความแรก ด้วยการไปเที่ยวเชียงรายด้วยการ "นั่งรถรางแอ่วเมือง เล่าขาน 9 ตำนานนครเชียงราย" สำหรับใครที่พึ่งเดินทางมาเชียงรายเป็นครั้งแรก ผมขอเสนอการนั่งรถรางเที่ยวเมืองเชียงรายกันครับ


ถ้าใครได้มาถึงเชียงรายแล้ว สถานที่ ๆ เราจะต้องมานั่นก็คือ "อนุสาวรีย์พญามังรายมหราช
" (หรือ พ่อขุนเม็งรายมหาราช)  ซึ่งเป็นกษัตริย์ปฐมล้านนาผู้สร้างเมืองเชียงราย ในปี พ.ศ.1805  และในปี 2555 นี้ จะมีงานใหญ่ของจังหวัดนั่นก็คือ งานสมโพช 750 ปีเมืองเชียงราย ซึ่งจะจัดในวันที่่ 26 มกราคม 2555 ที่จะถึงนี้ครับ







ด้้านหลังจะมีอาคารศูนย์ส่งเสริมสินค้าพื้นเมืองหลังอนุสาวรีย์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ "นั่งรถรางแอ่วเมือง เล่าขาน 9 ตำนานนครเชียงราย" ซึ่งจะเห็นรถรางสองคันจอดอยู่ดังภาพที่เห็นนี้ครับ สาเหตุที่ผมแนะนำว่าให้มานั่งก็เพราะว่ารถรางนี้ สามารถพาเราไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ ในเมืองเชียงรายได้ แบบว่า ถ้าไม่ไปเยือนที่ต่าง ๆ ในเส้นทางรถรางแล้วเท่ากับว่าเราไม่มาถึงเชียงรายครับ


รถรางเชียงรายเปิดให้บริการทุกวัน โดยแบ่งเป็นรอบเช้าและรอบบ่าย รอบเช้าจะมี 9:00 และ 9:30 ส่วนรอบบ่ายจะมีช่วง 13:00 และ 13:30 ครับ แต่ว่ารอบนั้นจะต้องมีผู้มาใช้บริการอย่างน้อย 5 คน จึงจะให้บริการนักท่องเที่ยวได้ครับ




ภายในรถรางจะบรรจุที่นั่งซึ่งแต่ละคันสามารถให้บริการได้ 28 คน ครับ เอาล่ะ เราจะมาพูดถึงสิ่งที่ควรจะทำก่อนขึ้นรถรางกันเลย


ถ้าอยากจะขึ้นรถราง ให้เรามาถึงอนุสาวรีย์พญามังรายก่อนรถรางให้บริการ 30 นาที เช่นถ้าอยากจะไปรอบเช้าต้องมาถึงที่นี่ 8:30 ซึ่งจะได้รอบ 9:00 ครับ เมื่อมาถึงแล้ว เราก็มาลงทะเบียนที่ศุนย์บริการข้อมูลของอาคารครับ ซึ่งจะมีจุดลงทะเบียนตรงนั้นละครับ ค่าริการฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ 


นี่คือจุดลงทะเบียนครับ
ซึ่งให้เขียนชื่อและจังหวัดที่ตัวเองอยู่ มาเดี่ยวหรือมาหลายคน ก็ใส่ไปตามนั้นครับ และอย่าลืมถามเจ้าหน้าที่ด้วยว่าจะออกรอบไหน แต่ว่า ถ้ารอบนั้นมีคนมาลงทะเบียนต่ำกว่า 5 คนล่ะก็... คงต้องเป็นรอบต่อไปครับ


หลังจากที่ลงทะเบียนเสร็จแล้ว ก็รับแผนที่ท่องเที่ยวเทศบาลนครเชียงราย และเส้นทาง 9 วัดเทศบาลนครเชียงรายไปศึกษาเส้นทางและแผนที่ของทางจังหวัดครับ จากนั้นก็รอรอบรถออกตามที่เจ้าหน้าที่บอก ถ้ารอนานเกินไป ก็สามารถไปแวะที่อื่น ๆ ได้ก่อนที่จะรถออก (พอใกล้เวลาเดินรถให้รีบมาเลยนะครับไม่งั้นตกรถ) 


เมื่อถึงเวลาแล้วล้อหมุน!! ก็จะมีเจ้าหน้าที่่และมั้คคุเทศก์มาคอยต้อนรับการเดินทางรถรางแอ่วเมืองเชียงราย และเขาก็เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของสถานที่ต่าง ๆ ของจังหวัดเชียงรายอย่างละเอียดและครบถ้วน!! ครับ ส่วนสถานที่ ๆ รถจะไปแวะมี 9 จุดดังต่อไปนี้ครับ (ขออภัยไม่มีภาพที่ชัดเจนให้ดู)


1 อนุสาวรีย์พญามังราย
2 อนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 (ศาลากลางเก่า)
3 วัดพระสิงห์
4 วัดพระแก้ว
5 วัดดอยงำเมือง (ที่ตั้งของกู่พญามังราย)
6 วัดพระธาตุดอยจอมทอง (เสาสะดือเมืองเชียงราย)
7 วัดมิ่งเมือง
8 หอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติ
9 สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติ (เรือนจำกลางเก่า)


บางครั้งบางสถานที่อาจปิดปรับปรุงชัี่วคราว หรือปิดประจำวั้น ซึ่งรถรางจะไม่แวะชมครับ แต่ละสถานที่ รถจะจอดให้แวะรับชมอย่างน้อย 20-30 นาที โดยทางเจ้าหน้าที่จะอธิบายตามจุดต่าง ๆ ที่เราไปครับ การเที่ยวรถรางนี้เราจะใช้เวลาประมาณ  3 ชั่วโมงจากจุดแรกถึงจุดสุดท้าย และรถก็จะกลับมายังอนุสาวรีย์พญามังราย ก็เสร็จสิ้นการเดินทางครับ






ถ้าใครอยากจะรู้จักเชียงรายอย่างลึกและละเอียดแบบนี้ ให้ลองมานั่งรถรางเชียงรายดูนะครับ ค่าบริการฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่เราสามารถให้ tip ได้ขณะนั่งรถรางครับ


ทิ้งท้ายบทความ


ตอนนี้จังหวัดเชียงรายมีบริการติด Wi-Fi ทั้วเขตเทศบาลนครเชียงรายชื่อ Chiangrai Wi-Fi City ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม ซึ่งสมัครเป็นสมาชิกฟรี และเล่นได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ สถานที่ ๆ ให้บริการ(ทั่วเมืองเชียงราย) >> http://criwifi.totnorth.com/page3.htm


แล้วเจอกันใหม่บทความหน้าครับ สวัสดีครับ

อย่าลืมมากด Like ที่หน้าเพจเราบน Facebook

เวลาผมไปเที่ยวที่ไหน ผมก็มักจะถ่ายรูปแล้วนำไปขึ้นบน Facebook เพื่อให้เพื่อน ๆ ดูครับ สำหรับใครที่มี Facebook แล้ว อย่าลืมไปกด Like บนหน้าเพจของผมได้ที่


Sanitphanburi บ่าวเชียงรายชอบเที่ยวสุพรรณฯ
(http://www.facebook.com/328buritravel)


ในหน้า Facebook ของผมนี้ ผมจะนำเอารูปถ่ายจากการไปเที่ยวมาขึ้นบนหน้านี้ทั้งหมดครับ ส่วนประสบการณ์การท่องเที่ยวผมก็จะมาเขียนลงในบล็อกครับ และที่สำคัญ ผมให้ทุกคนที่เคยไปท่องเที่ยวลองมาแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวอีกทั้งยังโพสรูปหรือคลิปเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้ครับ


จากนี้ไป ผมจะพยายาม update ทั้งบล็อกและ Facebook แล้วมาเจอกันกับผม Sanitphanburi บ่าวเชียงรายชอบเที่ยวสุพรรณ ได้ที่นี่ครับ สวัสดีครับ

About Me


สวัสดีครับ ผม "Sanitphanburi บ่าวเชียงรายชอบเที่ยวสุพรรณ" ครับ!

ตอนนี้ผมมาเปิดบล็อกส่วนตัวไว้ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อที่จะมาเล่าเรื่องการท่องเที่ยวง่าย ๆ ของผมครับ
แรกๆ อาจจะไม่กล้าเปิดตัวสู่สาธารณะซักเท่าไหร่ แต่ผมก็อยากจะนำเอาประสบการณ์การท่องเที่ยวมาเล่าให้ฟังครับ


ทำไมถึงต้อง "บ่าวเชียงรายชอบเที่ยวสุพรรณ" ก็เพราะว่าผมเป็นชาวจังหวัดเชียงรายครับ และชอบจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นพิเศษ และตอนที่ผมเรียนอยู่ที่กรุงเทพ พอปิดเทอมสอบเสร็จ ก็ไปเที่ยวสุพรรณบุรีก่อนที่่จะกลับเชียงรายครับ



อะไรที่ทำให้ผมชอบจังหวัดสุพรรณบุรี ก็คงเป็น "ภาษาถิ่น" ที่น่าฟังของสุพรรณบุรี (เสียงเหน่อ) นี่แหละครับ และตอนแต่งนิยายนั้น ตัวเอกของผมมีเพื่อนเป็นนักบาสชาวสุพรรณบุรี ก็เลยรู้สึกสนใจจังหวัดนี้มากครับ

สำหรับบล็อกของผมนี้่จะทำอะไรบ้างเหรอ? ก็คือ เล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบง่าย ๆ  โดยเฉพาะเอารูปภาพที่ถ่ายจากกล้องมือถือมาให้ดูกันในบล็อกครับ เพราะผมเป็นคนชอบท่องเที่ยวอยู่แล้ว แต่ลักษณะการเที่ยวของผมนี่จะเรียกกว่าอะไรดีนะ คงเป็นการท่องเที่ยวแบบ "ทริปกากๆ" หรือเปล่า?? 

จะว่าอะไรก็ช่างเถอะ แต่สำหรับการท่องเที่่ยวในรูปแบบผมก็คือ"ไป เพื่อให้รู้" ว่าที่นั่นมีอะไร ดี หรือมีอะไรเด็ดหรือน่าสนใจบ้าง ที่สำคัญ ผมชอบถ่ายรูปเวลาไปที่ไหนมาไหน และไม่รู้ว่าจะอวดรูปให้ใครดู ก็เลยมาเปิดเป็นบล็อกการท่องเที่่ยวแบบนี้แหละครับ


จากนี้ไป ผมจะเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวผ่านบล็อกนี้ และพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวแบบง่าย ๆ ในรูปแบบของผม โดยจะเน้นจังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของผม และมี กรุงเทพ เชียงใหม่ พะเยา และสุพรรณบุรี ตามแต่ที่ผมจะออกไปเดินทางที่ไหน

อย่าลืมติดตามและเป็นกำลังใจให้ผมเขียนบล็อกเรื่องการเดินทางของผมต่อไปด้วยนะครับ อย่าลืมดูและให้ความคิดเห็นด้วยนะครับ