วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฉลองครบครอบ 1 ปี เซ็นทรัลเชียงราย





วันที่ 31 ที่ผ่านมานี้นะครับ ที่ห้างเซ็นทรัลเชียงราย ได้จัดงานฉลองครบรอบ 1 ปีแล้วครับ เมื่อวานผมได้ไปดูงานฉลองครบรอบ 1 ปีของห้างมา ภายในงานได้มีพิธีเปิดและจัดแฟชั่นโชว์ให้ดูด้วยครับ




สำหรับเซ็นทรัลเชียงรายนั้น เปิดห้างเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2554 ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็ครบรอบ 1 ปีแล้วครับ เป็นห้างสรรพสินค้าที่ออกแบบสถปัตยกรรมในรูปแบบล้านนา มี 3 ชั้น มีโรงภาพยนตร์ 5 โรงครับ




สำหรับการฉลองครบรอบ 1 ปีครั้งนี้ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ พร้อมกับ แฟชั่นโชว์เดินแบบในหัวข้อฤดูร้อนครับ โดยมีนายแบบและนักร้องจาก KPN มาเดินแบบแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ครับ หลังจากงานนี้เปิด ก็มีกิจกรรมพิเศษตลอดเดือนเมษายนครับ


สำหรับใครอยากจะดูข้อมูลเพิ่มเติมของเซ็นทรัลเชียงราย และงานครบรอบ 1 ปี ดูได้ที่นี่ครับ
http://www.centralplaza.co.th/chiangrai/
https://www.facebook.com/centralplazachiangraifanpage
1st Anniversary Central CR
http://www.centralplaza.co.th/ActivityDetail-th-cr_1stannimar2012.aspx

ห้างเซ็นทรัลเชียงรายเปิดได้ 1 ปีแล้ว ผมนึกถึงห้างโรบินสันสุพรรณบุรีที่พึ่งเปิดมาไม่นานมานี้เองครับ ถ้าหากโรบินสันสุพรรณบุรีฉลองครบรอบ 1 ปีเหมื่อไหร่ ผมอยากให้ชาวสุพรรณบุรีช่วยบอกผมด้วยว่างานมีวันไหน (คงจะเป็นวันที่ 2 มีนาคมครับ) ถ้ามีงานจริง ผมจะไปเที่ยวสุพรรณบุรีและเข้าร่วมงานฉลองครบรอบปีครับ

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 2: เข้าเมือง)




หลังจากที่กินดื่ม ดูของฝากจากตลาดสามชุกมาแล้ว ผมนั่งรถเข้าจังหวัดสุพรรรณบุรีครับ และแน่นอนว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นคือ ห้างสรรพสินค้าโรบินสันนั่นเองครับ แต่ก่อนที่จะไปที่ห้าง จะต้องขึ้นหอคอยบรรหารก่อน ผมทำเป็นธรรมเนียมแล้ว ถ้ามาที่นี่ ก็ต้องขึ้นหอคอยบรรหารครับ



ถึงแล้วครับ หอคอยบรรหาร อยู่ในสวนเฉลิมภัทรราชินี จะว่าไปแล้วผมยังไม่เคยลองไปสำรวจครบทุกที่เลยครับ เพราะในครั้งที่สามที่ผ่านมา ผมเดินดูทั่วแต่ไม่เคยเล่นสวนน้ำแล้ว แอบเซ็ง ๆ อีกว่า ลืมอีกแล้ว ลืมเอากางเกงว่ายน้ำมาครับ (ยังไม่ได้ซื้อ -_-'')  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้ามาถึงแล้วก็ต้องขึ้นหอคอยล่ะครับ



แน่นอนล่ะว่า ถ้าขึ้นหอคอยแล้วจะต้องมีเสียว ๆ กันล่ะ เฮ้อ มากี่ครั้งก็เหมือนเดิมทุกที ครั้งนี้ผมบอก "ทำใจก่อนขึ้น" เลยล่ะครับทีนี้ เพราะขึ้นกี่ทีกี่ทีก็มีแต่กลัวครับ แต่ก็ขึ้ันมาได้ ก็มีจ้องมองห้างให้กันทันทีครับ สำหรับรูปที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ ผมกำลังยืนอยู่หน้าภาพวาดที่สมเด็จพระเนรศวรมหาราชทำศึกยุทธหัตถีกับพม่านั่นเองครับ



ครับ นี่คือภาพวาดท่านสมเด็จพระเนรศวรมหาราชทำศึกยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาซึ่่งท่านพระเนรศวรได้ชัยชนะและกอบกู้เอกราชในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้นั่นเองครับ และสถานที่ ๆ ท่านทำศึกคือจังหวัดสุพรรณบุรี ทำให้จังหวัดนี้เป็นเมืองยุทธหัตถีครับ คำว่ายุทธหัตถีนั้นหมายถึงชนช้างครับ 



แล้วผมก็ส่อง ส่อง ส่อง และก็ส่อง โดยเฉพาะส่องหาสถานที่ใหม่คือโรบินสันครับ (อดใจอ่านต่อไปอีกนิดนะครับ) และก็เจออย่างชัดเจนครับ ผมว่ายืนอยู่ที่สูง ๆ ก็สนุกดี ตื่นเต้น หวาดเสียว ทำให้ผมนึกถึงข้อคิดหนึ่งที่ผมปล่อยบน Facebook นั่นคือ "ข้อคิดดี ๆ จากการกลัวความสูง" ครับ



หลังจากที่ชมวิวกันเต็มอิ่มแล้ว ก็ลงมาที่ชั้นสองหรือโซนทานข้าว ผมมาทานไอศกรีมช็อกโกแลตซันเดย์เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ชมเมืองสุพรรณบุรีรอบ ๆ ครับ 


เสร็จแล้ว ผมก็ลงหอเพื่อเดินทางไปช็อปปื้งในห้างใหม่ คือห้างสรรพสินค้าโรบินสันสาขาสุพรรณบุรี ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ติดกับถนน Super Highway ครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่ทราบว่าไปยังไง ผมจึงนั่งรถสองแถวพาไปยังสถานีขนส่งก่อนครับ เมื่อผมรอที่สถานีขนส่งแล้ว ผมถามคนขับรถว่า ห้างโรบินสันไปยังไง คนรถเขาบอกว่า ไปรถสองแถวที่ติดป้ายสีเขียวที่เขียนว่า "โรบินสัน" (ดูภาพด้านล่าง) ครับ 




ทีแรกผมพยายามสังเกตรถที่ติดป้ายโรบินสันอยู่ แต่ยังไม่เห็นมีมา จนกระทั่งรถสองแถวคันหนึ่งได้ถามผมว่าไปไหน ผมตอบว่าไปโรบินสัน เขาก็ให้ผมขึ้นรถเลย และเขาก็ติดป้ายโรบินสันตามรูปภาพนี้แหละครับ ผมรู้สึกขอบคุณที่เจ้าของรถถามและก็รีบติดป้ายดังกล่าว และให้ผมถ่ายรูปตัวอย่างด้านบนนี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ



และรถก็ขับรถออกจากตัวเมือง และก็กลับรถเพื่อเลี้ยวเข้ามายังห้างตามภาพด้านบนครับ ที่ตั้งตามภาพนั้น อยู่ฝั่งเดียวกับตัวเมือง ก็เลยขับอ้อมไปไกลหน่อย และแล้วเราก็มาถึงห้างโรบินสันสาขาสุพรรณบุรีแล้วครับ




สำหรับห้างนี้ เปิดตัวเมื่อวันที่ี่ 2 มีนาคม 2554 เป็นห้างสองชัั้น มีโรงภาพยนตร์ 4 โรงครับ ผมก็ลองเดินภายในห้างและพักผ่อนดูสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ และคลายความร้อนจากการที่เที่ยวข้างนอกมาครับ ร้อนแค่ไหนไม่หวั่น เราก็สนุกสนานไปกับกานท่องเที่ยวครับ


ก็อย่างที่บอกนะครับว่า การมาที่เดิมซ้ำ ๆ อาจจะมีเบื่อไปบ้าง แต่อย่าลืมว่า ครั้งต่อไปก็ต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปแน่นอนครับ ผมย้อนกลับไปทุกครั้งที่อยู่บ้านที่เชียงราย ผมชอบเดินถนนคนเดินบ่อยมาก ถึงแม้จะเห็นอะไรซ้ำ ๆ แต่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือเห็นสิ่งที่แตกต่างจากครั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ฝน ฟ้า อากาศ ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเปลียนไป เช่นขึ้นดอยตุงในฤดูฝน ก็จะได้กลิ่นน้ำฝน หรือได้สัมผัสอากาศหนาวในฤดูหนาว เป็นต้นครับ


อีกประการหนึ่ง การท่องเที่ยวของผมไม่ไช่แค่การไปดูสิ่งที่น่าสนใจ นอกจากนี้แล้วคือการเข้าไปพูดคุย และสร้างความสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์นี้หายไป ก็เลยไปเที่ยวที่นั่นซ้ำ ๆ ที่เดิม และก็แลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นบ้านเกิดตัวเองให้กันและกัน




ถ้าย้อนกลับไปที่ตลาดสามชุก ผมได้คุ้นเคยกับป้าคนหนึ่งที่ขายอาหารตามสั่งชื่อ "ร้านน้อง-กุ้ง" ที่เคยช่วยเหลือผมในตอนเที่ยวครั้งแรกสุดครับ ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในการท่องเที่ยวครั้งนั้นมากครับ และทุกครั้งที่ผมมาที่ตลาดสามชุก ผมไม่ลืมที่จะแวะสั่งอาหารที่ร้านนี้ครับ ถ้าหากไปเที่ยวจังหวัดไหน ก็ลองไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนท้องถิ่นดูครับ แล้วจะรู้ว่า สถานที่ ๆ เราเที่ยวนั้น มากกว่าที่เรารู้จักอีกครับ



ครับ สำหรับการเที่ยวสุพรรณบุรีครั้งนี้ ก็ค้างคืนหนึ่งคืนครับ ก่อนจบบทความนี้ผมแถมรูปหอคอยบรรหารภาคกลางคืนมาให้ดูเล่น ๆ ครับ และติดตามต่อกับตอนสุดท้ายในเรื่อง "สุพรรณบุรีแห่งความหลัง" ครับ สวัสดีครับ 





วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 1: สามชุก)

สวัสดีครับ หลังจากที่ผมห่างหายไปนาน เนื่องจากต้องใช้เวลาพักผ่้อนหลังจากที่ได้จบการศึกษาอย่างเต็มที่ในปี 2555 เป็นปีที่ดีมากที่จังหวัเชียงรายนั้นครบรอบ 750 ปี หลังจากนั้นเดือนกุมพาพันธ์ที่ผ่านมา ผมได้ลงไปหางานที่กรุงเทพฯ ซักระยะหนึ่ง แต่ทว่า เชียงรายยังคงมีงานหลาย ๆ อย่างที่อีกมากมาย และปลายเดือนนี้ผมจะกลับไปเชียงรายอีกครั้งหนึ่ง เผื่อจะได้มีโอกาสเข้าร่วมงานต่าง ๆ ของทางจังหวัด


และก่อนที่ผมจะกลับไปเชียงราย ผมก็มาแวะเที่ยวที่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นการพักผ่อนครับ ในหัวข้อ "สุพรรณบุรีแห่ง...ความหลัง" 



เมื่อสองปีที่แล้ว ผมได้มาเที่ยวสุพรรณบุรีเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อวันที่ 20-21 มีนาคม 2553 ซึ่งผมได้ลองไป ตลาดสามชุก ขึ้นหอคอยบรรหารฯ ไปดูมังกรสวรรค์ และไหว้หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ และปีนี้ ผมก็กลับมาเที่ยวซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง และแน่นอนว่า การมาเที่ยวอีกครั้ง ก็จะต้องเจออะไรที่เป็นการ "เปลี่ยนแปลง" แน่นอนครับ




และนี่คือตอนที่ 1 ตอน ตลาดสามชุก ตลาดร้อยปี ที่อำเภอสามชุกครับ ผู้คนใจดี มีของฝากมากมาย เมื่อผมเข้ามาในตลาดสามชุกแห่งนี้ หลังจากที่ถ่ายหน้าป้ายเสร็จ กลิ่นขนมจีบลอยมาแต่ไกล ทีแรกผมยังไม่ทันสังเกต ก็เลยเข้าใจผิดว่าผมจมูกเพี้ยนหรือเปล่า พอหันมามองก็พบกับป้าคนนี้ครับ ป้าขายขนมจีบกล่องละ 20 บาทครับ


ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสทานขนมจีบหลังจากที่ไม่ได้ทานมานานแล้ว ขนมจีบเจ้านี้ อร่อยครับ แต่ถ้าใส่น้ำจิ้มมากเกินไปอาจจะเปรี้ยวครับ




ตลาดสามชุกที่ผมมาในครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนครับ ที่ผมสังเกตได้คือบริเวณด้านซ้ายก็จะมีหลังคาสังกะสีติดอยู่ เพราะอากาศที่นั่นร้อนก็มีการสร้างเพิ่มเติมเล็กน้อย และมีพัดลมช่วยเป่าแม่ค้าด้วยครับ




ย้อนกลับไปสังเกตที่สะพานพรประชา ซึ่งสะพานก็มีการมุงหลังคนเพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวโดนแดดครับ ซึ่งสะพานนี้ได้มีการมุงหลังคาตั้งแต่ปี 2554 มาแล้วในครั้งที่ผมไปบึงฉวากนั่นเองครับ




ตอนที่ผมมาตอนนั้นก็เที่ยงแล้ว ผมรีบเดินดิ่งตรงไปยังร้านอาหารด้านในของตลาด ก็พบการก่อสร้างใหม่ ผมได้ไปคุยกับแม่ค้าที่ร้านอาหาร ผมก็ได้คำตอบว่า อาคารไม้เดิมนั้นได้ทรุดตัวลง จึงมีการสร้างใหม่ และก็สร้างให้คล้ายกับของเดิม ผมรู้สึกประทับใจในการอนุรักษ์ของทางตลาดครับ ถึงแม้ไม้เดิมจะต้องสึกหรอไปตามกาลเวลา เมื่อสร้างไม้ใหม่ก็มีการสร้างให้เหมือนกับของเก่าแบบนี้ล่ะครับ คราวหน้าผมก็จะได้เห็นการปรับเปลี่ยนใหม่ของที่นี่ครับ




หลังจากที่ผมได้รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินดูภายในตลาดสามชุก ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดา ทำให้ตลาดดูบางตาไปเล็กน้อย แต่ก็เดินคล่องดีครับ และภาพที่เห็นด้านบนตรงนี้ก็คือ.... กุนเชียงเนื้อปลาสลิดร้านลุงพงษ์-ลงพุงครับ เป็น OTOP ที่มาจากอำเภอศรีประจันต์ แล้วมาขายที่ตลาดสามชุกแห่งนี้ด้วยครับ ผมจำได้ว่าสินค้านี้ได้เคยเอาไปขายที่งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี่เองครับ รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ แล้วซื้อมาให้แม่เอาไปทำเป็นกุนเชียงทอด กินกับข้าวต้มแล้วอร่อยมาก ๆ ครับ ถึงยังไงก็เอามาขายให้ชาวเชียงรายอีกในครั้งที่ 9 ด้วยนะครับ




ต่อมา ผมก็มาแวะเที่ยวชม "โรงแรมอุดมโชค" เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่เคยทีั่คนสมัยก่อนที่มาขายของแล้วแวะพักค้างคืน แล้วก็เลือกมาพักค้างคืนที่โรงแรมที่นี่ ปัจุจันเปิดให้เข้าชมอย่างเดียวครับ โรงแรมนี้มีโรงภาพยนตร์เล็กด้วยครับ ที่เห็นในภาพคือที่จำหน่ายบัตรเข้าชมโรงภาพยนตร์ และรูปที่อยู่ใกล้ ๆ กันก็เป็นใบปิดภาพยนตร์ในสมัยนั้นด้วยครับ


และผมก็ได้ไปเที่ยวชมในจุดต่าง ๆ ในตลาด มาแวะดับกระหายที่บ้านโค้ก และเที่ยวชมสิ่งต่าง ๆ และปิดท้ายด้วยชื่อร้านอาหารที่ชวนสังเกตคือ ร้านบหมี่สามสี ที่เขียนสโลแกนว่า "มาถึงสามชุกต้องกินบะหมี่สามสี" ผมเลยถามเจ้าของร้านว่า แล้วอีกสีนั่นหมี่อะไร ผมก็ได้คำตอบว่า มีมีเหลือง หมี่ยก และก็ "หมี่งาดำ" ครับ แต่น่าเสียดายเพราะผมทานข้าวมาแล้ว ไว้คราวหน้า ผมจะมาลองแวะชิมร้านนี้ดูครับ


หลังจากที่ผมเที่ยวสามชุกแล้ว ผมก็ได้ข้อคิดดี ๆ อย่างหนึ่งคือ "การอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรม" เพราะชาวสามชุก ได้อนุรักษ์อาคารบ้านเรือนและวิถีชีวิตชุมชนและสังคมอย่างจริงจัง ให้สมกับรางวัล UNESO ที่ได้มา เหมือนกับจังหวัดเชียงรายที่หลายฝ่ายได้ให้ความสำคัญและอนุรักษ์วัฒธรรมของเชียงราย ให้สมกับการฉลองครบรอบ 750 ปีนั่นเอง


ต่อให้สถานที่ท่องเที่ยวนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ "การอนุรักษ์ และคงรักษาให้คนรุ่้นหลังได้เรียนรู้"


สำหรับการเที่ยวสามชุกก็จบลงเพียงเท่านี้ และผมก็นั่งรถเข้าจังหวัดสุพรรณุบรีต่อไปครับ