แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุพรรณบุรี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุพรรณบุรี แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

สุพรรณข้ามปีตอนที่ 2: ศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง


สวัสดีครับ เดือนนี้สุพรรณบุรีคงจะครึกครื้นมากสำหรับงานอนุสรณ์ดอนเจดีย์ รำลึกวีรกรรมของท่านสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในหารทำศึกยุทหัตถีในการกู้กรุงศรีครั้งแรกนะครับ สำหรับที่เชียงรายก็จะมีงานพ่อขุนเม็งรายมหาราช ที่รำลึกการสร้างเมืองเชียงรายของท่านพญามังรายมหาราช ในวันที่ 26 มกราคม ถึงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ครับ ปีนี้เมืองเชียงรายเข้าสู่ปีที่ 752 ครับ (อายุ 751 ปี)

ขออภัย ถ่ายป้ายจริงไม่ทันครับ เลยได้แต่รูปแบบนี้ T^T

สำหรับวันนี้ที่ผมเขียน จะมาเล่าเรื่องการเที่ยวสุพรรณบุรีข้ามปีในชื่อตอนว่า "ศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง" ที่อำเภออู่ทอง นั่นเองครับ สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่จัดดอกไม้ให้นักท่องเที่ยวมาชม เหมือนเทศกาลเชียงรายดอกไม้งาม(ไม้ดอกอาเซียนเชียงราย) และนิทรรศการนครเชียงรายนครแห่งดอกไม้งาม นั่นเองครับ ซึ่งคราวก่อนผมได้เขียนบล็อกตอนต้นเดือนในหัวข้อที่บอกว่าเชียงรายจะเต็มไปด้วยดอกไม้ ซึ่งงานดอกไม้ที่เชียงรายก็จัดออกมาได้อย่างสวยงามครับ 



ทีนี่เราก็มาดูของสุพรรณบุรีบ้าง ที่ "ศูนย์พันธุ์พืชเพาะเลี้ยง" ที่อำเภออู่ทองนี่แหละครับว่า ที่นี่มีอะไรให้มาชมกันบ้าง ที่นี่นะครับ เป็นสถานที่จัดดอกไม้แบบ ALL IN ONE ซึ่งดอกไม้ในที่แห่งนี้ ทั้งโชว์ ทั้งขาย ทั้งจัดงาน ทั้งเพาะพันธุ์ และดูแลในที่เดียวกันครับ เมื่อผมมาถึงที่ ก็มีทางให้ไปชมดอกไม้หลายที่ ซึ่งที่ๆ แรกที่ผมได้เข้าไปสำรวจคือ เรือนพรรณไม้งาม ที่มีดอกไม้หลายชนิดได้นำมาตั้งโชว์ และสามารถซื้อได้ครับ 


ผมสังเกตดูว่า ดอกไม้ที่นี่จะแบ่งโซนชัดเจนว่าที่โซนนั้นดอกอะไร และทุกโซนจะมีป้ายราคาดอกไม้ติดไว้อยู่ ซึ่งแสดงว่าที่นำมาโชว์นั้น  หากถูกใจดอกไหน ก็ซื้อได้เลย อย่างเช่นดอกแววมยุราในรูปครับ 


และโซนต่อมาก็คือดอกหน้าวัว ซึ่งตัวดอกได้บานจนสังเกตจากที่ไกลๆ ได้ และก็จะมีคนมาดู และก็ซื้อเอากลับไปบ้านครับ จากนั้นก็มีดอกไม้อื่น ๆ ที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นเทียนฝรั่ง หรือไม่ก็กล้วยไม้ เป็นต้นครับ

นี่คือสตรอเบอรี่นะครับ แต่มันไม่ได้ออกผลเลยไม่รู้นะครับ (เหงื่อตก)
เมื่อชมเรือนแรกเสร็จแล้ว ก็จะมีเรื่อนอื่น ๆ อยู่ด้านหลังครับ ซึ่งเรือนถัดมา ก็จะมีต้น
สตอเบอรี่หลายต้นให้ดูกัน แอบดูว่าต้นไหนมีผลแล้ว ปรากฏว่า ไม่มีทั้งต้นเลย (เหงื่อตก) แต่อย่างไรก็ตาม ก็สามารถซื้อไปได้ ซื้อไปเลี้ยงให้ออกผลกันเองนะครับ (หัวเราะ) และก็จะมี "สัปปะรดสี" ซึ่งชื่อมันบอกว่า สัปปะรด แต่ต้นนี้ กินไม่ได้นะครับ เพราะไม่มีผลครับ



ถ้าอยากจะกินได้ ที่นี่มีการเพาะ "เห็ดโอ่ง" สังเกตุได้จากการเอาโอ่งมาวางโชว์ให้ดูกันครับ โอ้! นี่คือศูนย์พืชพันธุ์เพาะเลี้ยงจริง ๆ ครับ มีวิธีเพาะ และมีวิธีการนำไปทำเป็นอาหารให้รับประทานอีกด้วยครับ นอกจากนี้ ก็ยังมีต้นหวาย กล้วยไม้ต่าง ๆ และต้นกระบองเพชร เพาะขายสำหรับเรื่องนี้ด้วยครับ


ที่ผมมาศูนย์พืชพันธุ์เพาะเลี้ยงนี้ เพราะว่าผมจะตามมาดู "ทิวลิป" ที่นี่ครับ เพราะว่าที่นี่จัดงาน "มหัศจรรย์ทิวลิปบานสุพรรณบุรี" ซึ่งตัวคอนเซปงานก็เหมือนกับงานเชียงรายดอกไม้งามทั้งสองแห่งครับ เมื่อมาถึงในงาน ก็จะได้รับการต้อนรับจากบ้านกังหัน ซึ่งนักท่องเที่ยวและชาวสุพรรณฯได้มาถ่ายรูปคู่กับบ้านกังหันด้วยครับ
ตอนไปถ่ายแดดแรงมากเลยถ่ายไม่ครบคำ (OTL)
และโซนที่จัดเป็นโซน "พฤกษาสวรรค์" ซึ่งจะเห็นพุ่มไม้แปรอักษรอยู่ ถ้าพุ่มไม้โตเต็มที่จนเต็มตัวอักษร ก็จะได้เห็นเต็มตัวอักษรครับ ซึ่งบริเวณต้อนรับและแปรอักษรนี้ ถ้าแดดไม้แรงมาก ก็จะมีคนมาพักผ่อน นั่งเล่นตามบริเวณนี้ครับ


ว่าแล้วเราก็ไปเข้าที่ซุ้มจัดงานกันครับ ที่แห่งนี้ก็จะมีการจัดพันธุ์ไม้ดอกเมืองหนาว และดอกไม้ต่าง ๆ ครับ แน่นอนครับว่าจะต้องมีทิวลิปให้ชมอย่างแน่นอนครับ ก่อนหน้านี้ผมก็ไปชมดอกไม้อื่น ๆ มาว่าแต่ละดอกนั้นสวยงามอย่างไร ที่สำคัญ มีป้ายกำกับชื่อดอกไม้อย่างชัดเจนครับ


แต่ทว่าน่าเสียดาย ที่วันนั้นผมไปดูในตอนนั้น ไม่มีดอกทิวลิปให้เห็นครับ มีแต่ตัวต้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามาช้าเกินไปหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีป้ายโชว์เกี่ยวกับการเติบโตของทิวลิปว่าใช้เวลากี่วันถึงจะบานออกมาเป็นดอกได้ อย่างน้อย ก็ได้ความรู้ทั้งผู้จัดและนักท่องเที่ยว จะได้กะเวลาถูกต้องว่าจะให้บานได้เมื่อไหร่นั่นเองละครับ ส่วนดอกไม้อื่น ๆ ก็ต้องหยิบมุขเดิมมาใช้นั่นก็คือถ่ายดอกไม้ระยะใกล้เพื่อชมความสวยงามของดอกไม้ครับ

มุขเดิมเวลาไปเที่ยวชมดอกไม้ (หัวเราะ)

สำหรับการเที่ยวที่นี่ก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ ก่อนออกไป ผมได้มองไปยังสวนกุหลาบแวร์ซายด์ (รูปด้านล่าง) ที่นี่จะพยายามปลูกกุหลาบให้บานสำหรับวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ครับ และก็มีของขายของฝากมาขายด้วยครับ 



ก่อนออกจากที่นี้ ลุงวินมอไซด์อู่ทองเขาใจดี ให้ผมพาไปดูสวนดอกทานตะวันด้วยครับ ผมเลยถือโอกาสนี้ถ่ายสวนทานตะวันที่สวยงามในแบบของสุพรรณบุรีให้ชมเป็นการปิดท้ายเที่ยวนี้ครับ


สำหรับงานดอกไม้ที่แห่งนี้แล้ว ถ้าถามว่าผมรู้สึกอย่างไร ผมจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้ก่อน แล้วค่อยไปบอกอีกทีในงานกล้วยไม้ที่บึงฉวากสำหรับวันพรุ่งนี้ครับ สำหรับการเที่ยวสุพรรณข้ามปีของผมยังไม่จบเพียงเท่านี้ ติดตามตอนต่อไปซึ่งยังคงอยู่กันที่อู่ทองครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

สุพรรณข้ามปีตอนที่ 01 วัดทับกระดาน (พุ่มพวงดวงจันทร์)








หลังจากที่ฉลองปีใหม่กันมาแล้ว สำหรับตัวผมเองก็จะมาขอเล่าเรื่องการท่องเที่ยวสุพรรณบุรีครั้งที่ 5 หรือ "สุพรรณข้ามปี" ครับ ผมเดินทางมาถึงสุพรรณบุรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา และเริ่มเที่ยวสถานที่ ๆ น่าสนใจวันต่อมา สำหรับวันที่ 30 ซึ่งเป็นวันแรกของผมนั้น วันแรกที่ผมได้ไปเที่ยวในช่วงเช้าได้แก่ "วัดทับกระดาน" ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง ครับ



วัดทับกระดาน เป็นที่รู้จักอีกชื่อหนึ่งว่า "วัดพุ่มพวงดวงจันทร์"ซึ่งผมก็เรียกรวมเป็น "วัดทับกระดาน  พุ่มพวง ดวงจันทร์" วัดนี้ มีความสำคัญในเรื่องของประวัติของ "ราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์" เพราะก่อนที่เธอจะมาเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดังนั้น เธอผูกพันและคุ้นเคยกับวัดนี้เป็นอย่างดี เมื่อเธอได้สร้างชื่อเสียงจนเป็น "ราชินีลูกทุ่ง" ร้องเพลงจนถึงบั้นปลายชีวิต ทำให้วัดนี้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงชีวะประวัติศาสตร์ ที่รำลึกถึง "ราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวงดวงจันทร์" ครับ



คุณหญิงพุ่มพวงเกี่ยวข้องกับวัดนี้ตรงที่ คุณหญิงพุ่มพวงผูกพันกับวัดนี้ ตอนเด็ก ๆ ก็มีขอพรที่วัด พอมีงานวัดอะไรเธอก็จะมาทำบุญที่วัดนี้ และเป็นวัดที่ใกล้บ้านของคุณหญิงพุ่มพวงนั่นเอง และวันที่ 13 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันที่รำลึกการจากไปของคุณหญิงพุ่มพวง โดยจะมีงานวัด งานร้องเพลงลูกทุ่งซึ่งเป็นผลงานเพลงของเธอนั่นเองครับ



รูปภาพจากเวป http://www.esanclick.com/luktung_fanclub.php?No=25373


ถ้ามาถึงวัดนี้จะต้องคุยเรื่องคุณหญิงพุ่มพวงฯ กันก่อนนะครับ พูดถึงคุณหญิงพุ่มพวงฯแล้ว (ผมขอเรียกเธอว่าคุณหญิงนะครับ) ตามประวัติที่เล่ากันมานั้น คุณหญิงพุ่มพวงตอนเด็ก ๆ เธอชื่อ "น้ำผึ้ง" ซึ่งแม่ของเธอเป็นชาวไร่อ้อย (ซึ่งอำเภอสองพี่น้องมีพื้นที่ปลูกอ้อยค่อนข้างมาก) เธอใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักร้องชื่อดัง และได้มาประกวดร้องเพลงที่วัดทับกระดานแห่งนี้ ตอนนั้นเธอได้ขอพรจาก "หลวงพ่อบวช" ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดนี้ และต่อมา เธอมาร้องเพลงที่งานวัดแห่งนี้ จนกระทั่งมี "ไวพจน์ เพชรสุพรรณ" เป็นนักร้องลูกทุ่งชาวบางปลาม้ามาขอเธอเป็นบุตรบุญธรรม แล้วน้ำผึ้งก็ได้ไปอยู่กับท่านไวพจน์และเป็น "น้ำผึ้ง เพชรสุพรรณ"





หลังจากที่เธอออกจากค่ายของไวพจน์ เธอได้ร้องเพลงลูกทุ่งจนประสบความสำเร็จ เป็นนักร้องชื่อดัง ได้เป็น "ราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวงดวงจันทร์" และมีครอบครัวครับ และเธอก็มีชื่อเสียงโด่งดัง มีผลงานเพลงมากมาย มีแฟนเพลงทุกยุคทุกวัย แต่ทว่าน่าเสียดาย เธออยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก เธอก็ลาลับจากไป ถึงแม้เธอจะจากไป แต่มีผลงานเพลงต่าง ๆ และแฟนเพลงเป็นอมตะครับ


ภาพยนตร์ "พุ่มพวง" สื่อเรื่องล่าสุดที่เล่าประวัติชีวิตของ "พุ่มพวงดวงจจันทร์"


และความดังของ "ราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวงดวงจันทร์" ทำให้เพลงที่เธอแต่ง เพลงที่เธอขับร้อง นำไปสานต่อให้กับนักร้องลูกทุ่งคนอื่น ๆ สืบเนื่องไป และเรื่องราวของเธอก็นำไปเขียนเป็นบทหนังบทละครทุกต่อเนื่องตามยุคสมัยครับ ซึ่งตอนที่ผมยังเด็กนั้นได้ดูละครเรื่อง "ราชนีลูกทุ่ง พุ่มพวงดวงจันทร์" ผ่านช่อง 7 สีครับ และล่าสุดในตอนนี้ เป็นภาพยนตร์เรื่อง "พุ่มพวง" แสดงนำโดยคุณ "เป้ย เปาวลี" นั่นเองครับ




ทีนี่เราก็มาพูดเรื่อวัดกันบ้าง (เดี๋ยวทางวัดจะน้อยใจ) วัดทับกระดานนี้ ได้สร้างเป็นสำนักสงฆ์บ้านทับกระดานในปีพ.ศ.2476 และมีสถานที่ศักดิ์สิทธ์หลายที่รอบๆ วัด วัดแห่งนี้มีประวัติของ "หลวงพ่อบวช" ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดแห่งนี้ครับ หลวงพ่อบวชท่านมีความเชียวชาญในด้านการปลูกเสกพระเครื่องและวัตถุมงคลต่าง ๆ และลูกศิษย์ของท่านก็สืบรุ่นในปลูกเสกวัตถุมงคลจนถึงยุคนี้ครับ



วัดนี้มีอะไรที่ให้กราบไหว้บ้าง (ซึ่งสิ่งที่เกี่ยวกับคุณหญิงพุ่มพวงก็พูดรวม ๆ กันไปเลยนะครับ) ทางเข้าหน้าวัด ก็จะพบกับพระปางนาคปรกขนาดใหญ่คอยต้อนรับผู้มาเยือนวัดแห่งนี้ แน่นอนครับ พระปางนี้ เหมาะสำหรับคนที่เกิดวันเสาร์เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นผู้ที่เกิดวันเสาร์มาไหว้ขอพระที่พระองค์นี้ให้ได้สมปราถนาครับ



เดินเข้ามาจะมีร้านค้าต่าง ๆ และด้านขวา จะเห็นวิหารจัตุรมุข ซึ่งเป็นสถานที่ ๆ เก็บสรีละสังขารของหลวงพ่อบวชครับ ตอนที่ผมเข้าไปครั้งแรกเพื่อไปไหว้ ผมยังไม่ทราบว่าโลงที่อยู่ข้างหน้านั้นเป็นโลงที่เก็บสังขารของท่านไว้นั้นเอง (ซึ่งผมได้ทราบตอนถามคนที่อยู่รอบ ๆ วัดแห่งนี้ครับ)



เราจะไปดูทางซ้ายจากทางเข้ากันก่อนนะครับ ถ้าหันไปทางซ้ายมือก็จะเห็นต้นมหาไทรทอง ที่มีคนผูกผ้าเป็นสี ๆ ถูเลขขอหวยกันที่ต้นไม้แห่งนี้ และใกล้ ๆ ต้นไม้ก็จะมีรูปเจ้าแม่ให้ไหว้สักการะขอพรด้วยครับ



ตรงบ่อน้ำนะครับ จะมีหุ่นของคุณหญิงพุ่มพวง หุ่นแรกครับ สร้างขึ้นหลังจากงานพระราชทานเพลิงศพไป 15 วัน โดยบรรจุเถ้าท่าน ผงทุรีของคุณหญิงพุ่มพวงไว้ด้วยครับ หุ่นตัวแรกที่กล่าวมานี้ตั้งอยู่บริวณศาลาข้างสระน้ำครับ และก็จะมีศาลากลางน้ำไว้สำหรับชมปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำได้ครับ เมื่อมองไปยังฝั่งตรงข้ามนั้น ก็จะมีศาลาฤๅษี ถ้ำฤๅษีจำลอง และศาลพุ่มพวงดวงจันทร์ครับ แต่ผมไม่ได้เข้าไปดูตรงนั้นครับ



ถ้าออกจากศาลา จะมีทางขึ้นข้างบนเรียก "ศาลาภูเขาดิน" ซึ่งมีหุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อบวช องค์พระหลวงพ่อพระชัย และหลวงพ่อทอง และมีรอยพระพุทธบาทจำลอง ให้ไปไหว้ทางด้านบนอีกด้วยครับ เสร็จแล้วก็ยังสามารถชมสระน้ำและสิ่งรอบ ๆ วัด อาจจะไม่สูงมากนัก แต่ก็ได้บรรยากาศนิด ๆ ครับ




ชมฝั่งซ้ายของวัดเสร็จแล้ว ฝั่งขวาของวัดนั้น ถัดไปจากวิหารจัตุรมุขก็จะมี ศาลาสุธรรมรัตราษ์บำรุง ศาลานี้จะมีหุ่นจำลองคุณหญิงพุ่มพวงหลายหุ่นอยู่ในนี้ครับ และมีรูปของคุณหญิง และโปสเตอร์งานฟังลูกนิมิตที่คุณหญิงพุ่มพวงได้ร่วมทำบุญและร้องเพลงด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีกุมารบุญเหลือมาให้ไหว้ขอพรกันครับ และก็มีพระเครื่องให้เช่าบูชาด้วยครับ




ถัดไปจากศาลาก็จะเป็นอีกศาลาหนึ่งคือ ศาลาการเรียนรู้ชุมชน มีหุ่นคุณหญิงพุ่มพวงที่สาม เป็นท่าเข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ และร้องเพลงพระราชนิพนธ์ครับ ตรงกันข้ามของศาลาธรรมฯ จะมีอัฐิของคุณหญิงพุ่มพวงอยู่ตรงนั้นด้วยครับ



วัดนี้ สามารถเที่ยวชมภายในได้ถึงครึ่งวันเลยครับ  เพราะกว้างกว่าที่คิดไว้มากครับ วัดนี้เลยได้ทั้งประวัติวัด ความศักดิ์สิทธ์ของภายในวัด และความศักดิ์สิทธ์ของคุณหญิงพุ่มพวงด้วยครับ



อิทฤทธิ์ปาฏิหารย์ของคุณหญิงนั้นสุดยอดจริง ๆ ครับ ผมเคยดูการสัมพาษณ์ของคุณเป้ยเปาวลีในรายการคนอวดผีว่า คุณหญิงพุ่มพวงเธอได้เลือกคุณเป้ยมาเป็นนักแสดงนำใน ภาพยนตร์พุ่มพวง เพราะน้ำเสียงของเธอคล้ายกับกับคุณหญิงมาก พอคุณเป้ยร้องเพลง  น้ำเสียงเธอจะเหมือนคุณหญิงพุ่มพวงมากครับ ทำให้คุณหญิงเลยเลือกคุณเป้ยมาแสดงครับ



และอีกหนึ่งปาฏิหารย์ที่ผมได้เห็นคือจากการเรื่องเล่าคือ เรื่องเพลิงไหม้ที่ตลาดบางลี่ หลังจากที่เก็บซากที่ถูกเผา ก็พบแผ่นเพลงของคุณหญิงพุ่มพวงที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์และใช้การได้ ทำให้เจ้าของนำซีดีนี้มาเก็บทางวัด ซึ่งได้ลงข่าวของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐด้วยครับ

ครับ สำหรับการเที่ยววัดทับกระดานนั้นได้เสร็จสิ้นและคุ้มค่ามากจริง ๆ ครับ ได้ชมอะไร ๆ ที่เกี่ยวกับราชินีลูกทุ่งพุ่มพวงดวงจันทร์ และเรื่องน่าสนใจหลายอย่างภายในวัดแห่งนี้ครับ สำหรับเที่ยวต่อไปในภาคบ่าย ที่อำเภออู่ทองนะครับ

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฟุตบอลนัดแห่งความประทับใจอีกครั้ง ที่ยูไนเต็ดสเตเดี้ยม


ตุลาคมนี้ เชียงรายเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาวแล้วนะครับ วันนี้ ผมได้ไปดูฟุตบอลนัดที่ผมประทับใจเป็นพิเศษครับ นัดที่ว่านี้จะเป็นนัดที่ไหนไม่ได้ เป็นนัดที่ กว่างโซ้งมหาภัยเชียงรายยูไนเต็ด เปิดบ้านรับการมาเยือน ทีมช้างศึกยุทธหัตถีสุพรรณบุรี FC นั่นเองครับ ผมดีใจที่เชียงรายกับสุพรรณบุรีได้มาเตะบอลด้วยกันอีกครับ นัดที่ว่านี้ ที่สองทีมมาเจอกัน เป็นนัด 8 ทีมสุดท้ายใน มูลนิธิไทยคม FA CUP นั่นเองครับ

ภาพจาก Facebook เชียงรายยูไนเต็ด (https://www.facebook.com/CRUTD)

ขณะที่ผมกำลังหางานทำที่เชียงรายอยู่ ผมก็ได้เห็นติดป้ายประกาศว่า เชียงราย จะได้เจอกับสุพรรณบุรี อีกครั้ง ในวันที่ 3 ตุลาคม 2555 ครับ หลังจากที่ผมดูนัดนี้เสร็จ ผมก็มาเขียนบล็อกนี้ตอนที่ผมกำลังดูรายการคนอวดผีครับ และก็มาเขียนต่ออีกสองวันครับ

เพราะผมเป็นบ่าวเชียงรายชอบเที่ยวสุพรรณฯ เมื่อมาเจอของคู่กันแบบนี้ มีหรือที่จะพลาด ผมก็จะต้องไปนัดที่สำคัญนัดนี้ให้ได้ครับ ผมจำได้ว่า วันเกิดนารุโตะ 10 ตุลาคม 2553 เชียงรายยูไนเต็ดกับสุพรรณบุรีได้เจอกันครั้งหนึ่ง ซึ่งนัดนั้นผมก็ไปดูด้วย และสวมชุดสามชุกไปดู ที่สนามกีฬากลางจังหวัดเชียงราย นัดนั้น เชียงรายชนะ 4-0 ครับ และมีนัดเยือนของเชียงรายกับสุพรรณอีกนัดหนึ่ง ตอนนั้นผมไม่ทราบ และไม่ได้ไปครับ ผมได้หาข้อมูลเจอจากการวิเคราะห์บอลของ CRUTDTV ตอนนั้นเชียงรายบุกไปเสมอกับสุพรรณ 2-2 ครับ


เนื่องจากเชียงรายกับสุพรรณบุรีได้มาเตะกันอีกครั้ง ผมก็เลยไปดูด้วย นัดที่เชียงรายและสุพรรณบุรีได้มาเจอกัน ที่สนามยูไนเต็ดสเตเดี้ยม ซึ่งเป็นสนามที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสนามเหย้าของทีมเชียงรายยูไนเต็ดครับ สนามนี้ ตั้งอยู่ข้างท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย จังหวัดเชียงราย ซึ่งน่าจะอำนวยความสะดวกให้กับทีมเยือนที่เดินทางมาทางเครื่องบินได้ครับ

ขอย้อนอดีตไปซักหน่อยนะครับ กว่าที่ทีมกว่างโซ้งจะได้สนามส่วนตัวนี้ก็นานเหมือนกันครับ ตั้งแต่ตั้งทีมมาในปี 2552 สมัยนั้นยังไม่มีสนามเหย้า นอกจากเสียว่า เวลาเล่นที่บ้านก็ใช้สนามกีฬากลางในการเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมต่างๆ จนกระทั่ง สนามกีฬากลางปิดปรับปรุง ทีมกว่างโซ้งก็ต้องใช้สนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แต่เนื่องจาก การนำเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเชียร์สนาม และการตะโกนโหวกเหวกของทีมเชียร์ เป็นเหตุให้ทางมหาลัยฯ ไม่สามารถให้การอนุญาตใช้สนาม เพื่อตัดปัญหาในส่วนของความรำคาญของนักศึกษาหอในครับ จนมีนัดเยือนหนึ่งที่เกิดความสูญเสียช็อกวงการ ที่รถบัสทีมเชียร์พลิกคว่ำเกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้มีกระแสทางอินเตอร์เน็ตที่เข้าใจผิดว่า ทาง ม.ไม่ให้ใช้เป็นทีมเหย้า และต้องใช้สนามไกลๆ ซึ่งการเข้าใจผิดครั้งนี้คือการเอาเรื่องทีมเหย้ากับทีมเยือนมาอยู่ในเรื่องเดียวกัน จนและดราม่ากันไปมา จนเรื่องนี้ไปโพล่ที่เวปดราม่า ไปอ่านศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เวปดราม่านะครับ เป็นเหตุการณ์ที่ผมสงสารทีมเชียงรายมากครับ หลังจากเหตุการณ์ร้าย ๆ ผ่านมา เมื่อทีมเชียงรายเป็นทีมเหย้า ก็ใช้สนามของเชียงใหม่ไปก่อนครับ

ถือว่า ทีมกว่างโซ้งมหาภัย ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความเจ็บปวดมานาน และบัดนี้ ทีมเชียงรายยูไนเต็ด ก็ได้มีสนามยูไนเต็ดสเตเดี้ยม ใช้เป็นทีมเหย้าของตัวเอง กว่าจะผ่านมาได้ ผมก็รู้สึกประทับใจกับทีมฟุตบอลนี้เป็นอย่างมากครับ กว่าจะผ่านมาได้ ก็หลากหลายเรื่องราวครับ ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้ แต่ผมก็เห็นว่า การที่เชียงรายมีทีมฟุตบอลเก่งๆ แบบนี้ ทำให้เชียงรายมีอะไรดีๆ มากมายครับ



เข้าเรื่องกันดีกว่าครับ เมื่อนัดที่เชียงรายและสุพรรณบุรีมาเจอกันอีกครั้ง ผมไปชมแน่นอนครับ และนัดนี้ก็คือนัด ไทยคม FA CUP ซึ่งเชียงรายกับสุพรรณบุรีจะมาตัดเชือกในรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยเชียงรายเปิดบ้านรับการมาเยือนของสุพรรณบุรีนั่นเองครับ และถือว่า เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาดูฟุตบอลที่สนามเหย้าของเชียงรายครับ สำหรับผมแล้วในใจผมนั้นพยายามจะเชียร์ทั้งสองฝ่ายครับ (เพราะสุพรรณบุรีเดินทางมาไกลด้วยครับ) แต่ถึงยังไงก็ต้องไปเชียร์ฝั่งเชียงราย เพราะผมจะต้องทำตัวให้เหมือนกับกองเชียร์เชียงรายด้วยกันครับ นอกจากที่ผมสวมเสื้อเชียร์สีส้มแล้ว ผมสวมหมวกบึงฉวากไป ด้วยครับ ต่อไปนี้มีเหตุการณ์อะไรกันบ้าง ผมจะเล่าแบบคร่าวๆ ให้ฟังครับ



ครึ่งแรก เป็นช่วงที่สูสีกันพอสมควรครับ พอเป็นทีของเชียงราย ก็เป็นของเชียงราย พอเป็นทีของสุพรรณฯ ก็เป็นของสุพรรณฯ ครึ่งแรกเชียงรายเป็นฝ่ายที่มีโอกาสยิงได้หลายครั้ง จนนาทีที่ 30 เชียงรายขึ้นนำสุพรรณบุรี 1-0 และหลังจากนั้น สุพรรณบุรีก็ทำเกมรุกให้หนักขึ้น สุพรรณบุรีครองบอลได้มากขึ้น มีโอกาสได้ประตูมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำประตูได้ จบครึ่งแรกเชียงรายนำสุพรรณบุรี 1-0 ครับ



ครึ่งหลัง ผมได้ชมแสงจันทร์สวยงาม ขณะที่เสียงเชียร์เต็มสนาม สุพรรณบุรี ทำเกมรุกได้อย่างต่อเนื่อง และครองบอลได้มากขึ้น ประกอบเชียงรายเผลอทำฟาล์ว ในนาทีที่ 74 สุพรรณบุรีตีเสมอเชียงรายได้ 1-1 ครับ ทำให้เชียงรายพยายามโหมบุกหนักมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถต้านสุพรรณบุรีได้ หมดเวลา ทำให้เสมอกันที่ 1-1 แต่เนื่องจากนัดนี้เป็นรอบตัดเชือก จึงจำเป็นที่จะต้องหาผู้ชนะ เพื่อผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ทำให้ต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที

ผมรู้สึกเหนื่อยและอยากกลับบ้านทันที เพราะเมื่อได้ยินว่าต่อเวลาอีก 30 นาที โดยปกติแล้ว เวลาแบบนี้ ผมต้องอยู่ที่บ้านและไม่ออกไปไหนตอนดึกๆ ครับ แต่ถึงอย่างไร ไหนๆ ก็มาเชียร์แล้ว ผมจึง พยายามอยู่ในสนามเพื่อเชียร์บอลต่อไปครับ ก่อนเริ่มเกม ก็เห็นอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของนักฟุตบอลและทีมเชียร์ฟุตบอลอย่างเห็นได้ชัดครับ



15 นาทีพิเศษแรก มีการเอาตัวสำรองมาใช้ ในขณะที่ตัวหลักๆ มีอาการเหนื่อย และหลังจากที่แข่งกันไปไม่กี่นาที เชียงรายขึ้นนำอีกครั้ง 2-1 ครับ ทำให้กองเชียร์ทีมเชียงรายมีแรงฮึกเหิมอีกครั้ง แต่รู้สึกว่าเหมือนว่าจะกินกันไม่ลง ผลัดกันรุกผลัดกันรับ เมื่อหมด 15 นาทีแรก เชียงรายนำ 2-1 ครับ

และ 15 นาทีสุดท้าย ดูเหมือนว่า สุพรรณบุรีพยายามใช้แรงที่เหลืออยู่โหมบุกหนัก แต่ก็ไม่สามารถทำประตูได้ จนสองนาทีสุดท้าย เชียงรายเตะเข้าประตู แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินให้เป็นลูกล้ำหน้า และช่วงท้ายสุดของเกม เชียงรายยิงเข้าประตูชัยให้เชียงรายนำเป็น 3-1 ในช่วงท้ายสุด

จบเกม เชียงรายยูไนเต็ด ชนะ สุพรรณบุรี FC ด้วยคะแนน 3-1 ครับ เชียงรายผ่านเข้าไปเตะรอบรองชนะเลิศกับทีมทหารอาร์มมี่ยูไนเต็ด ที่สนามศุภชลาศัย (สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพฯ) ครับ



ครับ เมื่อจบเกม ก็ต้องมีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ ก่อนที่ผมจะลงจากสนามเพื่อกลับบ้าน ท่ามกลางความดีใจของทีมเชียร์เชียงรายที่ได้รับชัยชนะ ก็มีการเชียร์ทีมสุพรรณให้เพื่อเป็นการปลอบใจด้วยครับ หลังจากนั้นผมกลับบ้าน เพื่อไปติดตามกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของแฟนบอลทั้งสองฝั่ง ผมนั่งดูรายการคนอวดผีไป และดูสิ่งที่เกิดขึ้นบนอินเตอร์เน็ตครับ เพราะทีมเชียร์ไม่ได้อยู่แค่ในสนาม บางคนก็ดูผ่านทีวีเคเบิ้ลบ้าง หรือไม่ก็ดูการรายงานทางอินเตอร์เน็ตครับ

ทีมเชียร์ฝั่งเชียงรายนั้น มีการวิจารณ์อยู่สองเรื่องใหญ่ๆ คือ เรื่องที่เชียงรายถูกสุพรรณฯตีเสมอในครึ่งหลัง ทำให้แฟนบอลเริ่มซึมและคอตกไปตามๆ กัน และในสนามนั้น ทีมเชียร์เตือนว่า ให้นักเตะยิงไกล เพราะลูกเตะที่สุพรรณฯยิงเข้านั้นเป็นลูกยิงไกล 40 กว่าหลาครับ สิ่งนี้ก็เลยสร้างความกดดันให้กับทีมฟุตบอลกับทีมเชียร์ชาวเชียงรายครับ แต่ก็กลับมาเฮเมื่อเชียงรายขึ้นนำ 2-1 และการแต่เข้ายิงที่เป็น ลูกล้ำหน้านั้น ทำให้เสียดายไปตามๆ กัน ก่อนที่เชียงรายจะชนะ 3-1 แฟนบอลแสดงความเสียดายในเรื่องลูกล้ำหน้าว่า ถ้าไม่ล้ำหน้าเชียงรายจะได้ 4-1 แล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ชาวเชียงรายหลายๆ คนดีใจเป็นอย่างมากที่ทีมกว่างโซ้งชนะครับ และบางคนก็จะเตรียมตัวลง กทม ไปตามเชียร์รอบรองฯครับ

ส่วนฝั่งสุพรรณบุรีนั้น แฟนบอลทราบกันดีว่า ตัวนักกีฬาส่วนใหญ่ที่ไปเยือนเชียงรายนั้นไม่ใช่ตัวหลัก เพราะตัวหลักๆ จะเก็บไว้เล่นกันนัดสำคัญๆ และยิ่งไปกว่านั้น ทีมฟุตบอลสุพรรณบุรี เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เสียแรงเสียเวลาเดินทางไกลครับ ในใจผมคิดเลยว่า สุพรรณบุรีท่าทางจะลำบากมาก จะต้องเดินทางไกลไปทั่วประเทศครับ ผมจับใจความในสิ่งแฟนบอลก็ได้วิจารณ์ได้ว่า พอขึ้นมาเชียงราย ก็มีแต่นักเตะเท่านั้น โดยไม่มีโค้ชและตัวสำรองมาด้วยครับ และที่สุพรรณบุรีแพ้นั้น แพ้ไว้ก่อน เพราะนัดหน้าอาจเจอหนักกว่านี้ ที่สำคัญ ตัวหลักๆ ของทีมสุพรรณบุรีมีเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือ การขึ้นไปเตะในไทยหลีกครับ

สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่า ทั้งสองทีมเล่นได้อย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าสุพรรณบุรีเป็นฝ่ายได้เปรียบ และครองบอลได้มากกว่า ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตัวหลัก ยังเล่นได้เก่งขนาดนี้ ถือว่าสุดยอดครับ ส่วนทีมเชียงรายเล่น ได้ดีไม่แพ้กันครับ เป็นกว่างโซ้งมหาภัยที่ครองใจชาวเชียงรายทุกคนครับ ซึ่งผมอาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องฟุตบอลนัก แต่นัดนี้ เป็นนัดที่สำคัญสำหรับผม ผมก็เลยไปดูถึงสนามครับ ไม่ว่าเกมจะสนุกแค่ไหน ผมว่า เป็นนัดแห่งความทรงจำที่ดีสำหรับผมครับ เพราะผมตั้งใจว่าจะติดตามมาดูบอลเมื่อเชียงรายกับสุพรรณบุรีได้มาเจอกันครับ

สำหรับทีมเชียงรายยูไนเต็ดนะครับ ขอแสดงความยินดีที่ชนะสุพรรณบุรีในครั้งนี้ นัดหน้าเจอกับอาร์มมี่ยูไนเต็ด ขอให้เชียงรายเอาชนะทีมทหารนี้ให้ได้ เพื่อไปชิงถ้วยไทยคม FA CUP ครับ และถ้าเดินทางไปกรุงเทพ นักเตะและกองเชียร์เดินทางไปและกลับโดยสวัสดิภาพ และคว้าชัยชนะมาให้ได้ครับ สำหรับไทยหลีกนั้น ขอให้เชียงรายทำให้ดีที่สุด เพื่อขึ้นเป็นอันต้นๆ ของไทยหลีกให้ได้ครับ และขอให้อยู่ในไทยหลีกให้นานๆ จนเป็นอันดับที่หนึ่งของไทยหลีกให้ได้นะครับ สำหรับแฟนบอลนะครับ ผมก็ขอสนับสนุนให้ตามไปเชียร์ในนัดเยือนให้เยอะๆ นะครับ เพื่อสร้างกำลังใจให้กับทีมในตอนเป็นทีมเยือนครับ และสุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังใจให้กว่างโซ้งมหาภัย เชียงรายยูไนเต็ด สร้างผลงานการเล่นดีๆ เป็นส่วนในการสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเชียงรายต่อไปครับ

สำหรับทีมสุพรรณบุรี FC นะครับ ก็แสดงความเสียใจที่แพ้เชียงรายครับ เกมล้วนมีแพ้ชนะ และผมก็เข้าใจด้วยว่าสุพรรณบุรีช่วงนี้นัดเยือนเยอะ ทำให้เสียแรงจากการเดินทางไปมาด้วยครับ สุพรรณบุรีทำดีที่สุดแล้วครับ เพราะที่ผ่านมา ผมสังเกตว่าสุพรรณบุรีมีโอกาสจะได้ประตูหลายครั้ง และครองบอลได้เยอะกว่าเชียงราย ผมรู้สึกว่าทีมสุพรรณเล่นได้เก่งมากครับ ผมเข้าใจในความรู้สึกของ ทุกคนครับ ถึงแม้จะพลาดถ้วยนี้ไป แต่ผมก็เอาใจช่วยให้สุพรรณขึ้นไทยหลีก แล้วมาเจอกับเชียงรายด้วยกันครับ ถ้าหากเชียงรายมาเยือนสุพรรณเมื่อไหร่ ผมอาจจะไปครับ



สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณนักเตะและกองเชียร์ชาวสุพรรณบุรี ที่สละเวลามาเล่นและมาเชียร์ทีมตัวเองที่เชียงราย เป็นนัดที่ผมสนุกมากทั้งสองทีมครับ และเป็นนัดแห่งความทรงจำของผมจริงๆ ครับ ผมรู้สึกว่า อยากให้สุพรรณตามมาเชียร์กันเยอะๆ ครับ ขอให้สุพรรณบุรี มีฝีมือที่เก่งขึ้น และสามารถขึ้นไทยหลีกให้ได้นะครับ และถ้าโชคดีอาจจะได้มาเตะกับเชียงรายด้วยกันในไทยก็ได้ครับ

ถ้าหากเชียงรายไปเยือนสุพรรณบุรีล่ะก็ ช่วยมาบอกผมด้วยนะครับ ผมจะพยายามสละเวลาตามไปเชียร์เชียงรายที่สุพรรณบุรีด้วยเช่นกันครับ สำหรับบล็อคตอนนี้ก็ยาวพอสมควร เจอกันใหม่คราวหน้า สวัสดีครับ ^^

ข่าวสารเพิ่มเติม
เชียงรายลุ้นเหนื่อย ต่อเวลาชนะสุพรรณบุรี 3-1
สุพรรณบุรีบุกพ่ายกว่างโซ้ง 1-3 ตกรอบไทยคมเอฟเอ
[FA CUP] Chaingrai United 3-1 Suphanburi FC (AET)
  



วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนพิเศษ: ศรัทธาโครงการใหญ่)

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนพิเศษ: ศรัทธาโครงการใหญ่)

นี่คือเที่ยวสุพรรณบุรีแห่งความหลังตอนพิเศษครับ หลังจากที่ผมไปเยี่ยมมังกรป่วยแล้ว ผมไปวัดป่าเลไลยก์เพื่อไปไหว้หลวงพ่อโตเสร็จ ก็มีงานหนึ่งครับ เป็นงานหล่อมือเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในโลกครับ




ผมทราบว่า ในงานนี้จะมีพิธีหล่อมือเจ้าแม่กวนอิมในตอนเย็น โดยท่าน พณฯ บรรหารจะมาเป็นประธานในพิธีครับ




สำหรับงานดังกล่าวนั้น เป็นโครงการสร้างรูปเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สูง 84 เมตร ซึ่งจะประดิษฐสถานที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งจัดโดยมูลนิธี Miracle of Life ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และสมาคมวัฒนธรรมวิธีพุทธไทย-จีน โครงการนี้ เริ่มประชาสัมพันธ์ที่จังหวัดพระนครศรีอยุทธยาเป็นจังหวัดแรก และมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรี ณ วันที่ผมมาเที่ยวพอดีครับ (คือวันที่ 21 มีนาคมครับ) สำหรับการประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้ ก็มีคลิปประชาสัมพันธ์ของจังหวัดพระนครศรีอยุทธยา ช่องเคเบิ้ล ATV ครับ (คลิปโดย pnnnews ครับ)






เสร็จเรื่องของเจ้าแม่กวนอิมแล้ว และมีอีกเรื่องของจังหวัดสุพรรณบุรีครับ ที่วัดป่าเลไลยก์ มีประชาสัมพันธ์โครงการแกะสลักหลวงพ่ออู่ทองที่ภูผา ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกันครับ
ภาพโดย  WORLD BIGGEST BUDDHA IMAGE (WBBI)
พระใหญ่แกะสลักนี้ จะแกะสลักที่หุบผามังกรบิน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีครับ ซึ่งมีองค์จำลองที่วัดป่าเลยไลยก์ด้วยครับ




สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมขของโครงการเพระเจ้าอู่ทองนั้น สามารถดูได้บน Facebook ที่เพจ:
WORLD BIGGEST BUDDHA IMAGE (WBBI) ครับ


และหลังจากที่ผมเที่ยวในสองจุดนี้เสร็จ การท่องเที่ยวสุพรรณบุรีแห่งความหลังก็จบลง และผมก็กลับกรุงเทพฯ แล้วกลับเชียงรายก่อนสิ้นเดือนมีนาคมครับ สำหรับการเที่ยวสุพรรณในสามครั้งที่ผ่านมานั้น เดี๋ยวผมจะเรียบเรียงแล้วนำมาเขียนขึ้นมาทีหลังครับ


ปิดท้ายบทความนี้ ด้วยคลิปท่าน ว เรื่องความหมายของพระปางป่าเลไลยก์  แล้วอย่าลืมติดตามบทความการท่องเที่ยวของผมระหว่างเชียงรายและสุพรรณบุรีได้ที่บล็อกนี้ครับ สวัสดีครับ




วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 3: เยี่ยมมังกรป่วย)

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 3: เยี่ยมมังกรป่วย)

เข้าสู่ตอนสุดท้ายสำหรับ "สุพรรณบุรี แห่งความหลัง" แล้วครับ หลังจากพักแรมได้หนึ่งคืนก็ตื่นมาดูทิวทัศน์ของเมืองสุพรรณบุรี หลังจากที่ผมทานข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวผมก็จะเดินทางไปมังกรเพื่อดูอาการบาดเจ็บจากเหตุพลุระเบิดในเดือนมกราคมที่ผ่านมาครับ


ก่อนที่จะไปมังกร ผมเดินทางไปแวะไว้อนุสาวรีย์พระนเรศวรมหาราชก่อนครับ ใครที่ยังไม่รู้จักที่แห่งนี้คงสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมที่นี่ถึงมีแต่ไก่ชนเต็มไปหมดน่ะครับ  ก็เพราะว่า ครั้งยังที่องสมเด็จพระนเรศวรฯท่านยังทรงพระเยาว์นั้นท่านชอบเล่นไก่ชนครับ ดังนั้นชาวสุพรรณบุรีมักจะเอาไก่ชนทั้งตัวเล็กตัวใหญ่มาถวายให้ท่านดังที่เห็นครับ และผมก็เคยเอามาถวายให้ท่านตอนมาครั้งที่สองครับ




และผมก็เดินไปชมวัดไชนาวาส และก็ไปดูตลาดเช้าที่ถนนหมื่นประจญ ซึ่งมีของกินขายสดๆใหม่ๆที่นั่นครับ และตลาดนี้ก็ใกล้วัด ทำให้ผมได้พบกับพระที่มาบิณฑบาตภายในตลาดเช้าด้วยครับ


โอ้โห!! ปลากราย SIZE ใหญ่มาก!!!


ครับ และผมก็เข้าไปดูพระเครื่องที่ขายเช่าในวัด ผมก็ได้ขออนุญาติถ่ายภาพเพื่อเอามาเขียนลงบล็อกนี้ครับ และถามว่า ตลาดพระเครื่องใหญ่นั้นขายที่ไหน ซึ่งคุณลุงก็ตอบว่า "วัดสุวรรณภูมิ" ครับ




แล้วคุณลุงก็บอกว่า แหล่งขายเช่าพระเครื่องที่วัดดังกล่าวนั้นจะเปิดตลาดนัดทุกวันอาทิตย์ครับ และผมก็ขอขอบคุณที่เอื้อเฟื้อให้เก็บภาพมาให้ผมสามารถเล่าอธิบายได้ครับ สำหรับเรื่องนี้ ผมคิดที่จะตามหาสิ่งที่เป็นคำควัญท่อนหนี่งว่า "เลื่องลือพระเครื่อง" ทำให้ผมเข้าใจว่า สุพรรณบุรีเป็นจังหวัดที่มีแหล่งจำหน่ายพระเครื่องแหล่งใหญ่แห่งนี้ครับ ถ้าหากชาวสุพรรณบุรีอ่านอยู่ ช่วยอธิบายเกี่ยวกับการขายพระเครื่องในจังหวัดให้ด้วยนะครับ


จากนี้ไป ผมนั่งรถสองแถวไปยังมังกรครับ






ถ้าใครยังจำความได้ ตอนนั้น งานตรุษจีนในเดือนมกราคมที่่ผ่านมา สถานที่แห่งนี้ได้เกิดอุบัติเหตุพลุระเบิดด้านหลังของมังกร ซึ่งส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และความเสียหายให้กับที่อยู่อาศัยด้านหลังมังกรครับ เมื่อผมมาถึง ผมก็ยังเห็นป้ายงานตรุษจีนอยู่ครับ


ตอนนั้นผมอยู่ที่เชียงราย กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสเรื่องการฉลองเมืองเชียงรายครบรอบ 750 ปี และทราบข่าวทีหลังตอนแม่เปิดข่าวภาคดึกและมีรายงานด่วนเรื่องนี้มา ทำให้ผมตกใจและอึ้งทันที และสลดไปพักหนึ่ง พอวันที่ 25 คลิป ข่าว ภาพ ขึ้นบนทีวีและอินเตอร์เน็ต ขนาดผมยังอยู่เชียงรายยังสลดใจและใจหายครับ


หลังจากความรู้สึกแรกผ่านไป ผมก็รู้สึกว่า "มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย" เพราะผมกำลังจะเตรียมใจเข้าร่วมฉลองครบรอบ 750 ปีเมืองเชียงราย แต่ดันมาเจอเรื่องแย่ ๆ ใกล้ ๆ กันแบบนี้ ผมก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่สุพรรณบุรีเจออุบัติเหตุแบบนี้




ทำให้การเที่ยวครั้งนี้ ผมจึงไปสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น และขอเรียกเที่ยวนี้ว่า "เยี่ยมมังกรป่วย" ครับ ดูไกล ๆ แล้ว ดูเหมือนว่าทุกอย่างเคลียร์หมดเรียบร้อยแล้ว พอมองที่ไปตัวมังกร ก็เห็นรอยแตกตรงช่องท้องได้ชัดดังรูปด้านบนครับ




เมื่อไปยังบริเวณทางเข้าพิพิธภันฑ์ ก็จะเห็นเมฆมังกรมีรอยแตก และเดินไปอีกก็จะเห็นนั่งร้านตั้งไว้ เพื่อซ่อมแซมเมฆมังกรที่แตกด้วยครับ




ต่อมา ผมขึ้นไปที่ศาลา 7 ชั้น เพื่อสังเกตรอบ ๆ ข้าง ก็รู้สึกว่าทุกอย่างเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ก็มีเพียงหลังคาวัดพระธาตุที่อยู่ด้านหลังมังกรนั้นแตกกระจาย แสดงความเสียหายที่ยังหลงเหลือครับ


ผมได้ไปสอบถามผู้คนที่อยู่แถว ๆ นี้ครับ ผมจึงถามกลับไปยังเหตุการณ์พลุระเบิดครับ พวกเขาได้ตอบว่า ตอนเกิดเหตุการณ์นั้น ไม่ทันได้นึกว่าเป็นอุบัติเหตุ คิดว่าเป็นจุดพลุใหญ่เฉยๆ แต่ก็รู้สึกว่าระเบิดตอนน้ั้นเสียงดังมาก กว่าจะมารู้อีกทีก็มีเสียงรถพยาบาลเข้ามาครับ และหลังจากที่เกิดขึ้นทำให้งานตรุษจีนนี้หยุดไป 1 วัน และจัดจนหมดวันงานครับ ถึงแม้ตอนนี้ตัวมังกรจะบาดเจ็บ แต่พิพิธภันฑ์ยังเปิดให้เข้าชมตามปกติได้ครับ


ครับ ผมอาจเขียนช้าไปหน่อย แต่ก็อยากจะเล่าความรู้สึกย้อนหลังผ่านทางนี้ ผมก็กราบขออภัยด้วยครับ ทั้งหมดนี้ผมก็ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งครับ ตอนนี้ผมถืว่ามังกรยังป่วยอยู่ครับ ใครได้มาเที่ยวที่นี้แล้วสามารถบริจาคค่าซ่อมแซมได้ครับ ภายในศาลหลักเมืองนั้นมีการรับบริจาคทำบุญค่าเกล็ด เล็บ เขี้ยวมังกร และอื่น ๆ ครับ


ก่อนที่ผมออกจากที่นี่ ผมได้บอกไปยังมังกรว่า ขอให้หายดีนะ และครั้งหน้าจะมาเยี่ยมใหม่ ขอให้น้องมังกรหายไวไวนะ อีกไม่นานก็หายดีครับ แต่ถึงยังไงผมก็ขอเป็นกำลังใจครับ


แต่สำหรับสุพรรณบุรีแห่งความหลังของผมตอนนี้ ผมคาดว่ามีสามตอน แต่ยังมีอีกหนึ่งตอน ไว้ติดตามกันอีกทีคราวหน้านะครับ

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 2: เข้าเมือง)




หลังจากที่กินดื่ม ดูของฝากจากตลาดสามชุกมาแล้ว ผมนั่งรถเข้าจังหวัดสุพรรรณบุรีครับ และแน่นอนว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นคือ ห้างสรรพสินค้าโรบินสันนั่นเองครับ แต่ก่อนที่จะไปที่ห้าง จะต้องขึ้นหอคอยบรรหารก่อน ผมทำเป็นธรรมเนียมแล้ว ถ้ามาที่นี่ ก็ต้องขึ้นหอคอยบรรหารครับ



ถึงแล้วครับ หอคอยบรรหาร อยู่ในสวนเฉลิมภัทรราชินี จะว่าไปแล้วผมยังไม่เคยลองไปสำรวจครบทุกที่เลยครับ เพราะในครั้งที่สามที่ผ่านมา ผมเดินดูทั่วแต่ไม่เคยเล่นสวนน้ำแล้ว แอบเซ็ง ๆ อีกว่า ลืมอีกแล้ว ลืมเอากางเกงว่ายน้ำมาครับ (ยังไม่ได้ซื้อ -_-'')  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้ามาถึงแล้วก็ต้องขึ้นหอคอยล่ะครับ



แน่นอนล่ะว่า ถ้าขึ้นหอคอยแล้วจะต้องมีเสียว ๆ กันล่ะ เฮ้อ มากี่ครั้งก็เหมือนเดิมทุกที ครั้งนี้ผมบอก "ทำใจก่อนขึ้น" เลยล่ะครับทีนี้ เพราะขึ้นกี่ทีกี่ทีก็มีแต่กลัวครับ แต่ก็ขึ้ันมาได้ ก็มีจ้องมองห้างให้กันทันทีครับ สำหรับรูปที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ ผมกำลังยืนอยู่หน้าภาพวาดที่สมเด็จพระเนรศวรมหาราชทำศึกยุทธหัตถีกับพม่านั่นเองครับ



ครับ นี่คือภาพวาดท่านสมเด็จพระเนรศวรมหาราชทำศึกยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาซึ่่งท่านพระเนรศวรได้ชัยชนะและกอบกู้เอกราชในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้นั่นเองครับ และสถานที่ ๆ ท่านทำศึกคือจังหวัดสุพรรณบุรี ทำให้จังหวัดนี้เป็นเมืองยุทธหัตถีครับ คำว่ายุทธหัตถีนั้นหมายถึงชนช้างครับ 



แล้วผมก็ส่อง ส่อง ส่อง และก็ส่อง โดยเฉพาะส่องหาสถานที่ใหม่คือโรบินสันครับ (อดใจอ่านต่อไปอีกนิดนะครับ) และก็เจออย่างชัดเจนครับ ผมว่ายืนอยู่ที่สูง ๆ ก็สนุกดี ตื่นเต้น หวาดเสียว ทำให้ผมนึกถึงข้อคิดหนึ่งที่ผมปล่อยบน Facebook นั่นคือ "ข้อคิดดี ๆ จากการกลัวความสูง" ครับ



หลังจากที่ชมวิวกันเต็มอิ่มแล้ว ก็ลงมาที่ชั้นสองหรือโซนทานข้าว ผมมาทานไอศกรีมช็อกโกแลตซันเดย์เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ชมเมืองสุพรรณบุรีรอบ ๆ ครับ 


เสร็จแล้ว ผมก็ลงหอเพื่อเดินทางไปช็อปปื้งในห้างใหม่ คือห้างสรรพสินค้าโรบินสันสาขาสุพรรณบุรี ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ติดกับถนน Super Highway ครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่ทราบว่าไปยังไง ผมจึงนั่งรถสองแถวพาไปยังสถานีขนส่งก่อนครับ เมื่อผมรอที่สถานีขนส่งแล้ว ผมถามคนขับรถว่า ห้างโรบินสันไปยังไง คนรถเขาบอกว่า ไปรถสองแถวที่ติดป้ายสีเขียวที่เขียนว่า "โรบินสัน" (ดูภาพด้านล่าง) ครับ 




ทีแรกผมพยายามสังเกตรถที่ติดป้ายโรบินสันอยู่ แต่ยังไม่เห็นมีมา จนกระทั่งรถสองแถวคันหนึ่งได้ถามผมว่าไปไหน ผมตอบว่าไปโรบินสัน เขาก็ให้ผมขึ้นรถเลย และเขาก็ติดป้ายโรบินสันตามรูปภาพนี้แหละครับ ผมรู้สึกขอบคุณที่เจ้าของรถถามและก็รีบติดป้ายดังกล่าว และให้ผมถ่ายรูปตัวอย่างด้านบนนี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ



และรถก็ขับรถออกจากตัวเมือง และก็กลับรถเพื่อเลี้ยวเข้ามายังห้างตามภาพด้านบนครับ ที่ตั้งตามภาพนั้น อยู่ฝั่งเดียวกับตัวเมือง ก็เลยขับอ้อมไปไกลหน่อย และแล้วเราก็มาถึงห้างโรบินสันสาขาสุพรรณบุรีแล้วครับ




สำหรับห้างนี้ เปิดตัวเมื่อวันที่ี่ 2 มีนาคม 2554 เป็นห้างสองชัั้น มีโรงภาพยนตร์ 4 โรงครับ ผมก็ลองเดินภายในห้างและพักผ่อนดูสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ และคลายความร้อนจากการที่เที่ยวข้างนอกมาครับ ร้อนแค่ไหนไม่หวั่น เราก็สนุกสนานไปกับกานท่องเที่ยวครับ


ก็อย่างที่บอกนะครับว่า การมาที่เดิมซ้ำ ๆ อาจจะมีเบื่อไปบ้าง แต่อย่าลืมว่า ครั้งต่อไปก็ต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปแน่นอนครับ ผมย้อนกลับไปทุกครั้งที่อยู่บ้านที่เชียงราย ผมชอบเดินถนนคนเดินบ่อยมาก ถึงแม้จะเห็นอะไรซ้ำ ๆ แต่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือเห็นสิ่งที่แตกต่างจากครั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ฝน ฟ้า อากาศ ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเปลียนไป เช่นขึ้นดอยตุงในฤดูฝน ก็จะได้กลิ่นน้ำฝน หรือได้สัมผัสอากาศหนาวในฤดูหนาว เป็นต้นครับ


อีกประการหนึ่ง การท่องเที่ยวของผมไม่ไช่แค่การไปดูสิ่งที่น่าสนใจ นอกจากนี้แล้วคือการเข้าไปพูดคุย และสร้างความสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์นี้หายไป ก็เลยไปเที่ยวที่นั่นซ้ำ ๆ ที่เดิม และก็แลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นบ้านเกิดตัวเองให้กันและกัน




ถ้าย้อนกลับไปที่ตลาดสามชุก ผมได้คุ้นเคยกับป้าคนหนึ่งที่ขายอาหารตามสั่งชื่อ "ร้านน้อง-กุ้ง" ที่เคยช่วยเหลือผมในตอนเที่ยวครั้งแรกสุดครับ ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในการท่องเที่ยวครั้งนั้นมากครับ และทุกครั้งที่ผมมาที่ตลาดสามชุก ผมไม่ลืมที่จะแวะสั่งอาหารที่ร้านนี้ครับ ถ้าหากไปเที่ยวจังหวัดไหน ก็ลองไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนท้องถิ่นดูครับ แล้วจะรู้ว่า สถานที่ ๆ เราเที่ยวนั้น มากกว่าที่เรารู้จักอีกครับ



ครับ สำหรับการเที่ยวสุพรรณบุรีครั้งนี้ ก็ค้างคืนหนึ่งคืนครับ ก่อนจบบทความนี้ผมแถมรูปหอคอยบรรหารภาคกลางคืนมาให้ดูเล่น ๆ ครับ และติดตามต่อกับตอนสุดท้ายในเรื่อง "สุพรรณบุรีแห่งความหลัง" ครับ สวัสดีครับ