วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

รู้มั้ย... อบจ.เชียงรายมีอะไรน่าสนใจบ้าง

รู้มั้ย... อบจ.เชียงรายมีอะไรน่าสนใจบ้าง


วันนี้เราไปชมอะไรบางอย่างบริเวณองค์การส่วนบริหารจังเชียงรายกันดีกว่าครับ เกริ่นแค่นี้แล้วผมเริ่มที่ "หอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปี" 




ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้ทราบข่าวพิธีเปิด หอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปี ซึ่งเป็นพิพิธภันฑ์ที่เล่าประวัติของเมืองเชียงรายได้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น หอนี้ เปิดขึ้นในโอกาสที่เมืองเชียงรายครบรอบ 750 ปีนั่นเองครับ รูปที่ถ่ายนี้เป็นด้านหน้าของหอครับ


สถานที่แห่งนี้ ตั้งอยู่ถนนอุตรกิจ ด้านหลังศาลากลางเก่า ตรงข้ามกับโรงเรียนอนุบาลเชียงราย ซึ่งใกล้กับ หอนาฬิกาเก่าและตลาดเทศบาล 1 ครับ 


หอที่นี่เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ต้องถอดรองเท้าเข้าไป และห้ามถ่ายภาพครับ ภายในสถานที่จะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ล้านนา ซึ่งยุคของเชียงรายนั้น เชียงรายถือเป็นยุคปฐมล้านนาครับ ภายในหอนี้มีอยู่ทั้งหมด 8 โซน แต่ละโซนนั้นจะเล่าเรื่องการก่อสร้างเมืองเชียงราย ซึ่งสถาปณาโดยท่านพญามังรายมหาราช และเข้าสู่ยุคต่าง ๆ จนถึงถูกพม่ายึดไป 200 ปี แล้วถูกกู้กลับรวมเข้าเป็นจังหวัดในประเทศไทยครับ ซึ่งจะมีสื่อประสมต่าง ๆ เล่าเรื่องให้ทันสมัยขึ้นครับ


ถ้าชมมาถึงโซนที่สาม ก็จะเป็นโซนเทียเตอร์ ถ้าหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมถึง 10 คนขึ้นไป ทางเจ้าหน้าที่จะเปิดแสดงภาพประวัติของการสร้างเมืองเชียงรายนั่นเองครับ เมื่อจบโซนสาม ก็จะมีการจัดแสดงรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ครับ และมีรูปปั้นพญามังรายฯแบบสีสันสดใส สวยและงดงามอย่างมากครับ 


หลังจากที่ชื่นชมประวัติศาสตร์ของเชียงรายแล้ว ก็จะมีรายละเอียดของอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงรายทั้งหมด 18 อำเภอ และวัดต่าง ๆ ที่น่าสนใจในจังหวัดเชียงรายครับ เมื่อจบโซนที่เจ็ดแล้ว โซนแปดเป็นห้องสมุด ซึ่งอยู่ชั้นบนครับ




หอประวัตินี้ ใช้เวลาชมประมาณ 1 ชั่วโมง ถ้าได้ชมเทียเตอร์ก็จะเป็น 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งที่นั้นผมไม่ได้ดูครับ เพราะจำนวนคนไม่ถึง และถ้าใครมาที่จังหวัดเชียงราย ก็มาลองเข้าชมหอประวัติที่เล่าเรื่องของประวัติเมืองเชียงรายได้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นครับ เพราะที่นี่ห้ามถ่ายรูป ข้างในเป็นอย่างไร แวะไปดูเองนะครับ 


แอบขอเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปตัวเองหน้าหอประวัติฯ เพื่อจารึกลงบล็อกตัวเอง (หัวเราะ) สังเกตด้านหลังของผมนะครับ ด้านขวาของผมคือ โรงเรียนอนุบาลเชียงราย และวัดที่อยู่ด้านหลังคือ "วัดกลางเวียง" หนึ่งในเส้นทาง 9 วัดเมืองเชียงรายครับ เป็นวัดที่มีศาลหลักเมืองอยู่ในวัดครับ ถ้าพูดถึงเสาสะดือเมืองจะเป็นวัดดอยงำเมืองครับ




ถ่ายรูปตัวเองเสร็จ ผมจึงเดินไปด้านหลัง ซึ่งเป็นศาลากลางเก่า ด้านหน้านี้มีอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 อยู่ครับ ตอนนี้ศาลากลางเก่า ได้ปรับปรุงเป็น "หอวัฒนธรรมนิทัศน์" ซึ่งเป็นห้องจัดนิทรรศกาลไว้อยู่ แต่ตอนนี้ปิดปรับปรุงอยู่ครับ




ด้านขวาของศาลากลางเก่า มีห้องสมุดรถไฟเชียงราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟเชียงราย เพราะจังหวัดเชียงรายยังไม่มีรถไฟใช้ครับ ในตอนนี้จังหวัดเชียงรายเรามีห้องสมุดรถไฟดังกล่าวครับ ภายในโบกี้รถไฟนั้น เป็นห้องสมุดครับ ห้องสมุดรถไฟเปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ เวลา 9 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะเป็นเวลา 10 นาฬิกาถึง 19 นาฬิกาครับ


ถ้าหากเชียงรายมีรถไฟใช้ ก็จะแยกเส้นทางจากอุตรดิตถ์ ผ่านเด่นชัย (จังหวัดแพร่) ผ่านงาว (จังหวัดลำปาง) ผ่านจังหวัดพะเยาและเข้ามาที่จังหวัดเชียงรายครับ


ก่อนจบบทความนี้ผมมีแหล่งที่มาของการเปิดหอประวัติเชียงราย และโครงการรถไฟเชียงรายมาให้ดูกันด้วยครับ


หอประวัติเชียงราย 750 ปี
 -อบจ.เชียงราย เปิดหอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปีและเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ (เชียงรายโฟกัส)
อบจ.เปิดหอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปี (นสพ เชียงรายธุรกิจ)


โครงการรถไฟเชียงราย
+++กระทู้ติดตามรถไฟเชียงราย ครับ.+++ (เวบบอร์ดเชียงรายโฟกัส)
คืบหน้ารถไฟสายเด่นชัย-พะเยา-เชียงราย (พะเยารัฐ)


เรื่องราวของเชียงรายและสุพรรณบุรีนั้น ผมยังคงค้นหามาเรี่อย ๆ อย่าลืมติดตามบล็อกของผมในบทความต่อไปนะครับ

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนพิเศษ: ศรัทธาโครงการใหญ่)

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนพิเศษ: ศรัทธาโครงการใหญ่)

นี่คือเที่ยวสุพรรณบุรีแห่งความหลังตอนพิเศษครับ หลังจากที่ผมไปเยี่ยมมังกรป่วยแล้ว ผมไปวัดป่าเลไลยก์เพื่อไปไหว้หลวงพ่อโตเสร็จ ก็มีงานหนึ่งครับ เป็นงานหล่อมือเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในโลกครับ




ผมทราบว่า ในงานนี้จะมีพิธีหล่อมือเจ้าแม่กวนอิมในตอนเย็น โดยท่าน พณฯ บรรหารจะมาเป็นประธานในพิธีครับ




สำหรับงานดังกล่าวนั้น เป็นโครงการสร้างรูปเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สูง 84 เมตร ซึ่งจะประดิษฐสถานที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งจัดโดยมูลนิธี Miracle of Life ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และสมาคมวัฒนธรรมวิธีพุทธไทย-จีน โครงการนี้ เริ่มประชาสัมพันธ์ที่จังหวัดพระนครศรีอยุทธยาเป็นจังหวัดแรก และมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรี ณ วันที่ผมมาเที่ยวพอดีครับ (คือวันที่ 21 มีนาคมครับ) สำหรับการประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้ ก็มีคลิปประชาสัมพันธ์ของจังหวัดพระนครศรีอยุทธยา ช่องเคเบิ้ล ATV ครับ (คลิปโดย pnnnews ครับ)






เสร็จเรื่องของเจ้าแม่กวนอิมแล้ว และมีอีกเรื่องของจังหวัดสุพรรณบุรีครับ ที่วัดป่าเลไลยก์ มีประชาสัมพันธ์โครงการแกะสลักหลวงพ่ออู่ทองที่ภูผา ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกันครับ
ภาพโดย  WORLD BIGGEST BUDDHA IMAGE (WBBI)
พระใหญ่แกะสลักนี้ จะแกะสลักที่หุบผามังกรบิน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีครับ ซึ่งมีองค์จำลองที่วัดป่าเลยไลยก์ด้วยครับ




สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมขของโครงการเพระเจ้าอู่ทองนั้น สามารถดูได้บน Facebook ที่เพจ:
WORLD BIGGEST BUDDHA IMAGE (WBBI) ครับ


และหลังจากที่ผมเที่ยวในสองจุดนี้เสร็จ การท่องเที่ยวสุพรรณบุรีแห่งความหลังก็จบลง และผมก็กลับกรุงเทพฯ แล้วกลับเชียงรายก่อนสิ้นเดือนมีนาคมครับ สำหรับการเที่ยวสุพรรณในสามครั้งที่ผ่านมานั้น เดี๋ยวผมจะเรียบเรียงแล้วนำมาเขียนขึ้นมาทีหลังครับ


ปิดท้ายบทความนี้ ด้วยคลิปท่าน ว เรื่องความหมายของพระปางป่าเลไลยก์  แล้วอย่าลืมติดตามบทความการท่องเที่ยวของผมระหว่างเชียงรายและสุพรรณบุรีได้ที่บล็อกนี้ครับ สวัสดีครับ




วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 3: เยี่ยมมังกรป่วย)

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 3: เยี่ยมมังกรป่วย)

เข้าสู่ตอนสุดท้ายสำหรับ "สุพรรณบุรี แห่งความหลัง" แล้วครับ หลังจากพักแรมได้หนึ่งคืนก็ตื่นมาดูทิวทัศน์ของเมืองสุพรรณบุรี หลังจากที่ผมทานข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวผมก็จะเดินทางไปมังกรเพื่อดูอาการบาดเจ็บจากเหตุพลุระเบิดในเดือนมกราคมที่ผ่านมาครับ


ก่อนที่จะไปมังกร ผมเดินทางไปแวะไว้อนุสาวรีย์พระนเรศวรมหาราชก่อนครับ ใครที่ยังไม่รู้จักที่แห่งนี้คงสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมที่นี่ถึงมีแต่ไก่ชนเต็มไปหมดน่ะครับ  ก็เพราะว่า ครั้งยังที่องสมเด็จพระนเรศวรฯท่านยังทรงพระเยาว์นั้นท่านชอบเล่นไก่ชนครับ ดังนั้นชาวสุพรรณบุรีมักจะเอาไก่ชนทั้งตัวเล็กตัวใหญ่มาถวายให้ท่านดังที่เห็นครับ และผมก็เคยเอามาถวายให้ท่านตอนมาครั้งที่สองครับ




และผมก็เดินไปชมวัดไชนาวาส และก็ไปดูตลาดเช้าที่ถนนหมื่นประจญ ซึ่งมีของกินขายสดๆใหม่ๆที่นั่นครับ และตลาดนี้ก็ใกล้วัด ทำให้ผมได้พบกับพระที่มาบิณฑบาตภายในตลาดเช้าด้วยครับ


โอ้โห!! ปลากราย SIZE ใหญ่มาก!!!


ครับ และผมก็เข้าไปดูพระเครื่องที่ขายเช่าในวัด ผมก็ได้ขออนุญาติถ่ายภาพเพื่อเอามาเขียนลงบล็อกนี้ครับ และถามว่า ตลาดพระเครื่องใหญ่นั้นขายที่ไหน ซึ่งคุณลุงก็ตอบว่า "วัดสุวรรณภูมิ" ครับ




แล้วคุณลุงก็บอกว่า แหล่งขายเช่าพระเครื่องที่วัดดังกล่าวนั้นจะเปิดตลาดนัดทุกวันอาทิตย์ครับ และผมก็ขอขอบคุณที่เอื้อเฟื้อให้เก็บภาพมาให้ผมสามารถเล่าอธิบายได้ครับ สำหรับเรื่องนี้ ผมคิดที่จะตามหาสิ่งที่เป็นคำควัญท่อนหนี่งว่า "เลื่องลือพระเครื่อง" ทำให้ผมเข้าใจว่า สุพรรณบุรีเป็นจังหวัดที่มีแหล่งจำหน่ายพระเครื่องแหล่งใหญ่แห่งนี้ครับ ถ้าหากชาวสุพรรณบุรีอ่านอยู่ ช่วยอธิบายเกี่ยวกับการขายพระเครื่องในจังหวัดให้ด้วยนะครับ


จากนี้ไป ผมนั่งรถสองแถวไปยังมังกรครับ






ถ้าใครยังจำความได้ ตอนนั้น งานตรุษจีนในเดือนมกราคมที่่ผ่านมา สถานที่แห่งนี้ได้เกิดอุบัติเหตุพลุระเบิดด้านหลังของมังกร ซึ่งส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และความเสียหายให้กับที่อยู่อาศัยด้านหลังมังกรครับ เมื่อผมมาถึง ผมก็ยังเห็นป้ายงานตรุษจีนอยู่ครับ


ตอนนั้นผมอยู่ที่เชียงราย กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสเรื่องการฉลองเมืองเชียงรายครบรอบ 750 ปี และทราบข่าวทีหลังตอนแม่เปิดข่าวภาคดึกและมีรายงานด่วนเรื่องนี้มา ทำให้ผมตกใจและอึ้งทันที และสลดไปพักหนึ่ง พอวันที่ 25 คลิป ข่าว ภาพ ขึ้นบนทีวีและอินเตอร์เน็ต ขนาดผมยังอยู่เชียงรายยังสลดใจและใจหายครับ


หลังจากความรู้สึกแรกผ่านไป ผมก็รู้สึกว่า "มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย" เพราะผมกำลังจะเตรียมใจเข้าร่วมฉลองครบรอบ 750 ปีเมืองเชียงราย แต่ดันมาเจอเรื่องแย่ ๆ ใกล้ ๆ กันแบบนี้ ผมก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่สุพรรณบุรีเจออุบัติเหตุแบบนี้




ทำให้การเที่ยวครั้งนี้ ผมจึงไปสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น และขอเรียกเที่ยวนี้ว่า "เยี่ยมมังกรป่วย" ครับ ดูไกล ๆ แล้ว ดูเหมือนว่าทุกอย่างเคลียร์หมดเรียบร้อยแล้ว พอมองที่ไปตัวมังกร ก็เห็นรอยแตกตรงช่องท้องได้ชัดดังรูปด้านบนครับ




เมื่อไปยังบริเวณทางเข้าพิพิธภันฑ์ ก็จะเห็นเมฆมังกรมีรอยแตก และเดินไปอีกก็จะเห็นนั่งร้านตั้งไว้ เพื่อซ่อมแซมเมฆมังกรที่แตกด้วยครับ




ต่อมา ผมขึ้นไปที่ศาลา 7 ชั้น เพื่อสังเกตรอบ ๆ ข้าง ก็รู้สึกว่าทุกอย่างเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ก็มีเพียงหลังคาวัดพระธาตุที่อยู่ด้านหลังมังกรนั้นแตกกระจาย แสดงความเสียหายที่ยังหลงเหลือครับ


ผมได้ไปสอบถามผู้คนที่อยู่แถว ๆ นี้ครับ ผมจึงถามกลับไปยังเหตุการณ์พลุระเบิดครับ พวกเขาได้ตอบว่า ตอนเกิดเหตุการณ์นั้น ไม่ทันได้นึกว่าเป็นอุบัติเหตุ คิดว่าเป็นจุดพลุใหญ่เฉยๆ แต่ก็รู้สึกว่าระเบิดตอนน้ั้นเสียงดังมาก กว่าจะมารู้อีกทีก็มีเสียงรถพยาบาลเข้ามาครับ และหลังจากที่เกิดขึ้นทำให้งานตรุษจีนนี้หยุดไป 1 วัน และจัดจนหมดวันงานครับ ถึงแม้ตอนนี้ตัวมังกรจะบาดเจ็บ แต่พิพิธภันฑ์ยังเปิดให้เข้าชมตามปกติได้ครับ


ครับ ผมอาจเขียนช้าไปหน่อย แต่ก็อยากจะเล่าความรู้สึกย้อนหลังผ่านทางนี้ ผมก็กราบขออภัยด้วยครับ ทั้งหมดนี้ผมก็ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งครับ ตอนนี้ผมถืว่ามังกรยังป่วยอยู่ครับ ใครได้มาเที่ยวที่นี้แล้วสามารถบริจาคค่าซ่อมแซมได้ครับ ภายในศาลหลักเมืองนั้นมีการรับบริจาคทำบุญค่าเกล็ด เล็บ เขี้ยวมังกร และอื่น ๆ ครับ


ก่อนที่ผมออกจากที่นี่ ผมได้บอกไปยังมังกรว่า ขอให้หายดีนะ และครั้งหน้าจะมาเยี่ยมใหม่ ขอให้น้องมังกรหายไวไวนะ อีกไม่นานก็หายดีครับ แต่ถึงยังไงผมก็ขอเป็นกำลังใจครับ


แต่สำหรับสุพรรณบุรีแห่งความหลังของผมตอนนี้ ผมคาดว่ามีสามตอน แต่ยังมีอีกหนึ่งตอน ไว้ติดตามกันอีกทีคราวหน้านะครับ

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

ฉลองครบครอบ 1 ปี เซ็นทรัลเชียงราย





วันที่ 31 ที่ผ่านมานี้นะครับ ที่ห้างเซ็นทรัลเชียงราย ได้จัดงานฉลองครบรอบ 1 ปีแล้วครับ เมื่อวานผมได้ไปดูงานฉลองครบรอบ 1 ปีของห้างมา ภายในงานได้มีพิธีเปิดและจัดแฟชั่นโชว์ให้ดูด้วยครับ




สำหรับเซ็นทรัลเชียงรายนั้น เปิดห้างเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2554 ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็ครบรอบ 1 ปีแล้วครับ เป็นห้างสรรพสินค้าที่ออกแบบสถปัตยกรรมในรูปแบบล้านนา มี 3 ชั้น มีโรงภาพยนตร์ 5 โรงครับ




สำหรับการฉลองครบรอบ 1 ปีครั้งนี้ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ พร้อมกับ แฟชั่นโชว์เดินแบบในหัวข้อฤดูร้อนครับ โดยมีนายแบบและนักร้องจาก KPN มาเดินแบบแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ครับ หลังจากงานนี้เปิด ก็มีกิจกรรมพิเศษตลอดเดือนเมษายนครับ


สำหรับใครอยากจะดูข้อมูลเพิ่มเติมของเซ็นทรัลเชียงราย และงานครบรอบ 1 ปี ดูได้ที่นี่ครับ
http://www.centralplaza.co.th/chiangrai/
https://www.facebook.com/centralplazachiangraifanpage
1st Anniversary Central CR
http://www.centralplaza.co.th/ActivityDetail-th-cr_1stannimar2012.aspx

ห้างเซ็นทรัลเชียงรายเปิดได้ 1 ปีแล้ว ผมนึกถึงห้างโรบินสันสุพรรณบุรีที่พึ่งเปิดมาไม่นานมานี้เองครับ ถ้าหากโรบินสันสุพรรณบุรีฉลองครบรอบ 1 ปีเหมื่อไหร่ ผมอยากให้ชาวสุพรรณบุรีช่วยบอกผมด้วยว่างานมีวันไหน (คงจะเป็นวันที่ 2 มีนาคมครับ) ถ้ามีงานจริง ผมจะไปเที่ยวสุพรรณบุรีและเข้าร่วมงานฉลองครบรอบปีครับ

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 2: เข้าเมือง)




หลังจากที่กินดื่ม ดูของฝากจากตลาดสามชุกมาแล้ว ผมนั่งรถเข้าจังหวัดสุพรรรณบุรีครับ และแน่นอนว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นคือ ห้างสรรพสินค้าโรบินสันนั่นเองครับ แต่ก่อนที่จะไปที่ห้าง จะต้องขึ้นหอคอยบรรหารก่อน ผมทำเป็นธรรมเนียมแล้ว ถ้ามาที่นี่ ก็ต้องขึ้นหอคอยบรรหารครับ



ถึงแล้วครับ หอคอยบรรหาร อยู่ในสวนเฉลิมภัทรราชินี จะว่าไปแล้วผมยังไม่เคยลองไปสำรวจครบทุกที่เลยครับ เพราะในครั้งที่สามที่ผ่านมา ผมเดินดูทั่วแต่ไม่เคยเล่นสวนน้ำแล้ว แอบเซ็ง ๆ อีกว่า ลืมอีกแล้ว ลืมเอากางเกงว่ายน้ำมาครับ (ยังไม่ได้ซื้อ -_-'')  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ถ้ามาถึงแล้วก็ต้องขึ้นหอคอยล่ะครับ



แน่นอนล่ะว่า ถ้าขึ้นหอคอยแล้วจะต้องมีเสียว ๆ กันล่ะ เฮ้อ มากี่ครั้งก็เหมือนเดิมทุกที ครั้งนี้ผมบอก "ทำใจก่อนขึ้น" เลยล่ะครับทีนี้ เพราะขึ้นกี่ทีกี่ทีก็มีแต่กลัวครับ แต่ก็ขึ้ันมาได้ ก็มีจ้องมองห้างให้กันทันทีครับ สำหรับรูปที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ ผมกำลังยืนอยู่หน้าภาพวาดที่สมเด็จพระเนรศวรมหาราชทำศึกยุทธหัตถีกับพม่านั่นเองครับ



ครับ นี่คือภาพวาดท่านสมเด็จพระเนรศวรมหาราชทำศึกยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาซึ่่งท่านพระเนรศวรได้ชัยชนะและกอบกู้เอกราชในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้นั่นเองครับ และสถานที่ ๆ ท่านทำศึกคือจังหวัดสุพรรณบุรี ทำให้จังหวัดนี้เป็นเมืองยุทธหัตถีครับ คำว่ายุทธหัตถีนั้นหมายถึงชนช้างครับ 



แล้วผมก็ส่อง ส่อง ส่อง และก็ส่อง โดยเฉพาะส่องหาสถานที่ใหม่คือโรบินสันครับ (อดใจอ่านต่อไปอีกนิดนะครับ) และก็เจออย่างชัดเจนครับ ผมว่ายืนอยู่ที่สูง ๆ ก็สนุกดี ตื่นเต้น หวาดเสียว ทำให้ผมนึกถึงข้อคิดหนึ่งที่ผมปล่อยบน Facebook นั่นคือ "ข้อคิดดี ๆ จากการกลัวความสูง" ครับ



หลังจากที่ชมวิวกันเต็มอิ่มแล้ว ก็ลงมาที่ชั้นสองหรือโซนทานข้าว ผมมาทานไอศกรีมช็อกโกแลตซันเดย์เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ชมเมืองสุพรรณบุรีรอบ ๆ ครับ 


เสร็จแล้ว ผมก็ลงหอเพื่อเดินทางไปช็อปปื้งในห้างใหม่ คือห้างสรรพสินค้าโรบินสันสาขาสุพรรณบุรี ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ติดกับถนน Super Highway ครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่ทราบว่าไปยังไง ผมจึงนั่งรถสองแถวพาไปยังสถานีขนส่งก่อนครับ เมื่อผมรอที่สถานีขนส่งแล้ว ผมถามคนขับรถว่า ห้างโรบินสันไปยังไง คนรถเขาบอกว่า ไปรถสองแถวที่ติดป้ายสีเขียวที่เขียนว่า "โรบินสัน" (ดูภาพด้านล่าง) ครับ 




ทีแรกผมพยายามสังเกตรถที่ติดป้ายโรบินสันอยู่ แต่ยังไม่เห็นมีมา จนกระทั่งรถสองแถวคันหนึ่งได้ถามผมว่าไปไหน ผมตอบว่าไปโรบินสัน เขาก็ให้ผมขึ้นรถเลย และเขาก็ติดป้ายโรบินสันตามรูปภาพนี้แหละครับ ผมรู้สึกขอบคุณที่เจ้าของรถถามและก็รีบติดป้ายดังกล่าว และให้ผมถ่ายรูปตัวอย่างด้านบนนี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ



และรถก็ขับรถออกจากตัวเมือง และก็กลับรถเพื่อเลี้ยวเข้ามายังห้างตามภาพด้านบนครับ ที่ตั้งตามภาพนั้น อยู่ฝั่งเดียวกับตัวเมือง ก็เลยขับอ้อมไปไกลหน่อย และแล้วเราก็มาถึงห้างโรบินสันสาขาสุพรรณบุรีแล้วครับ




สำหรับห้างนี้ เปิดตัวเมื่อวันที่ี่ 2 มีนาคม 2554 เป็นห้างสองชัั้น มีโรงภาพยนตร์ 4 โรงครับ ผมก็ลองเดินภายในห้างและพักผ่อนดูสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ และคลายความร้อนจากการที่เที่ยวข้างนอกมาครับ ร้อนแค่ไหนไม่หวั่น เราก็สนุกสนานไปกับกานท่องเที่ยวครับ


ก็อย่างที่บอกนะครับว่า การมาที่เดิมซ้ำ ๆ อาจจะมีเบื่อไปบ้าง แต่อย่าลืมว่า ครั้งต่อไปก็ต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปแน่นอนครับ ผมย้อนกลับไปทุกครั้งที่อยู่บ้านที่เชียงราย ผมชอบเดินถนนคนเดินบ่อยมาก ถึงแม้จะเห็นอะไรซ้ำ ๆ แต่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือเห็นสิ่งที่แตกต่างจากครั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ฝน ฟ้า อากาศ ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเปลียนไป เช่นขึ้นดอยตุงในฤดูฝน ก็จะได้กลิ่นน้ำฝน หรือได้สัมผัสอากาศหนาวในฤดูหนาว เป็นต้นครับ


อีกประการหนึ่ง การท่องเที่ยวของผมไม่ไช่แค่การไปดูสิ่งที่น่าสนใจ นอกจากนี้แล้วคือการเข้าไปพูดคุย และสร้างความสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์นี้หายไป ก็เลยไปเที่ยวที่นั่นซ้ำ ๆ ที่เดิม และก็แลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นบ้านเกิดตัวเองให้กันและกัน




ถ้าย้อนกลับไปที่ตลาดสามชุก ผมได้คุ้นเคยกับป้าคนหนึ่งที่ขายอาหารตามสั่งชื่อ "ร้านน้อง-กุ้ง" ที่เคยช่วยเหลือผมในตอนเที่ยวครั้งแรกสุดครับ ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในการท่องเที่ยวครั้งนั้นมากครับ และทุกครั้งที่ผมมาที่ตลาดสามชุก ผมไม่ลืมที่จะแวะสั่งอาหารที่ร้านนี้ครับ ถ้าหากไปเที่ยวจังหวัดไหน ก็ลองไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนท้องถิ่นดูครับ แล้วจะรู้ว่า สถานที่ ๆ เราเที่ยวนั้น มากกว่าที่เรารู้จักอีกครับ



ครับ สำหรับการเที่ยวสุพรรณบุรีครั้งนี้ ก็ค้างคืนหนึ่งคืนครับ ก่อนจบบทความนี้ผมแถมรูปหอคอยบรรหารภาคกลางคืนมาให้ดูเล่น ๆ ครับ และติดตามต่อกับตอนสุดท้ายในเรื่อง "สุพรรณบุรีแห่งความหลัง" ครับ สวัสดีครับ 





วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 1: สามชุก)

สวัสดีครับ หลังจากที่ผมห่างหายไปนาน เนื่องจากต้องใช้เวลาพักผ่้อนหลังจากที่ได้จบการศึกษาอย่างเต็มที่ในปี 2555 เป็นปีที่ดีมากที่จังหวัเชียงรายนั้นครบรอบ 750 ปี หลังจากนั้นเดือนกุมพาพันธ์ที่ผ่านมา ผมได้ลงไปหางานที่กรุงเทพฯ ซักระยะหนึ่ง แต่ทว่า เชียงรายยังคงมีงานหลาย ๆ อย่างที่อีกมากมาย และปลายเดือนนี้ผมจะกลับไปเชียงรายอีกครั้งหนึ่ง เผื่อจะได้มีโอกาสเข้าร่วมงานต่าง ๆ ของทางจังหวัด


และก่อนที่ผมจะกลับไปเชียงราย ผมก็มาแวะเที่ยวที่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นการพักผ่อนครับ ในหัวข้อ "สุพรรณบุรีแห่ง...ความหลัง" 



เมื่อสองปีที่แล้ว ผมได้มาเที่ยวสุพรรณบุรีเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อวันที่ 20-21 มีนาคม 2553 ซึ่งผมได้ลองไป ตลาดสามชุก ขึ้นหอคอยบรรหารฯ ไปดูมังกรสวรรค์ และไหว้หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ และปีนี้ ผมก็กลับมาเที่ยวซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง และแน่นอนว่า การมาเที่ยวอีกครั้ง ก็จะต้องเจออะไรที่เป็นการ "เปลี่ยนแปลง" แน่นอนครับ




และนี่คือตอนที่ 1 ตอน ตลาดสามชุก ตลาดร้อยปี ที่อำเภอสามชุกครับ ผู้คนใจดี มีของฝากมากมาย เมื่อผมเข้ามาในตลาดสามชุกแห่งนี้ หลังจากที่ถ่ายหน้าป้ายเสร็จ กลิ่นขนมจีบลอยมาแต่ไกล ทีแรกผมยังไม่ทันสังเกต ก็เลยเข้าใจผิดว่าผมจมูกเพี้ยนหรือเปล่า พอหันมามองก็พบกับป้าคนนี้ครับ ป้าขายขนมจีบกล่องละ 20 บาทครับ


ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสทานขนมจีบหลังจากที่ไม่ได้ทานมานานแล้ว ขนมจีบเจ้านี้ อร่อยครับ แต่ถ้าใส่น้ำจิ้มมากเกินไปอาจจะเปรี้ยวครับ




ตลาดสามชุกที่ผมมาในครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนครับ ที่ผมสังเกตได้คือบริเวณด้านซ้ายก็จะมีหลังคาสังกะสีติดอยู่ เพราะอากาศที่นั่นร้อนก็มีการสร้างเพิ่มเติมเล็กน้อย และมีพัดลมช่วยเป่าแม่ค้าด้วยครับ




ย้อนกลับไปสังเกตที่สะพานพรประชา ซึ่งสะพานก็มีการมุงหลังคนเพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวโดนแดดครับ ซึ่งสะพานนี้ได้มีการมุงหลังคาตั้งแต่ปี 2554 มาแล้วในครั้งที่ผมไปบึงฉวากนั่นเองครับ




ตอนที่ผมมาตอนนั้นก็เที่ยงแล้ว ผมรีบเดินดิ่งตรงไปยังร้านอาหารด้านในของตลาด ก็พบการก่อสร้างใหม่ ผมได้ไปคุยกับแม่ค้าที่ร้านอาหาร ผมก็ได้คำตอบว่า อาคารไม้เดิมนั้นได้ทรุดตัวลง จึงมีการสร้างใหม่ และก็สร้างให้คล้ายกับของเดิม ผมรู้สึกประทับใจในการอนุรักษ์ของทางตลาดครับ ถึงแม้ไม้เดิมจะต้องสึกหรอไปตามกาลเวลา เมื่อสร้างไม้ใหม่ก็มีการสร้างให้เหมือนกับของเก่าแบบนี้ล่ะครับ คราวหน้าผมก็จะได้เห็นการปรับเปลี่ยนใหม่ของที่นี่ครับ




หลังจากที่ผมได้รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินดูภายในตลาดสามชุก ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดา ทำให้ตลาดดูบางตาไปเล็กน้อย แต่ก็เดินคล่องดีครับ และภาพที่เห็นด้านบนตรงนี้ก็คือ.... กุนเชียงเนื้อปลาสลิดร้านลุงพงษ์-ลงพุงครับ เป็น OTOP ที่มาจากอำเภอศรีประจันต์ แล้วมาขายที่ตลาดสามชุกแห่งนี้ด้วยครับ ผมจำได้ว่าสินค้านี้ได้เคยเอาไปขายที่งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี่เองครับ รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ แล้วซื้อมาให้แม่เอาไปทำเป็นกุนเชียงทอด กินกับข้าวต้มแล้วอร่อยมาก ๆ ครับ ถึงยังไงก็เอามาขายให้ชาวเชียงรายอีกในครั้งที่ 9 ด้วยนะครับ




ต่อมา ผมก็มาแวะเที่ยวชม "โรงแรมอุดมโชค" เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่เคยทีั่คนสมัยก่อนที่มาขายของแล้วแวะพักค้างคืน แล้วก็เลือกมาพักค้างคืนที่โรงแรมที่นี่ ปัจุจันเปิดให้เข้าชมอย่างเดียวครับ โรงแรมนี้มีโรงภาพยนตร์เล็กด้วยครับ ที่เห็นในภาพคือที่จำหน่ายบัตรเข้าชมโรงภาพยนตร์ และรูปที่อยู่ใกล้ ๆ กันก็เป็นใบปิดภาพยนตร์ในสมัยนั้นด้วยครับ


และผมก็ได้ไปเที่ยวชมในจุดต่าง ๆ ในตลาด มาแวะดับกระหายที่บ้านโค้ก และเที่ยวชมสิ่งต่าง ๆ และปิดท้ายด้วยชื่อร้านอาหารที่ชวนสังเกตคือ ร้านบหมี่สามสี ที่เขียนสโลแกนว่า "มาถึงสามชุกต้องกินบะหมี่สามสี" ผมเลยถามเจ้าของร้านว่า แล้วอีกสีนั่นหมี่อะไร ผมก็ได้คำตอบว่า มีมีเหลือง หมี่ยก และก็ "หมี่งาดำ" ครับ แต่น่าเสียดายเพราะผมทานข้าวมาแล้ว ไว้คราวหน้า ผมจะมาลองแวะชิมร้านนี้ดูครับ


หลังจากที่ผมเที่ยวสามชุกแล้ว ผมก็ได้ข้อคิดดี ๆ อย่างหนึ่งคือ "การอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรม" เพราะชาวสามชุก ได้อนุรักษ์อาคารบ้านเรือนและวิถีชีวิตชุมชนและสังคมอย่างจริงจัง ให้สมกับรางวัล UNESO ที่ได้มา เหมือนกับจังหวัดเชียงรายที่หลายฝ่ายได้ให้ความสำคัญและอนุรักษ์วัฒธรรมของเชียงราย ให้สมกับการฉลองครบรอบ 750 ปีนั่นเอง


ต่อให้สถานที่ท่องเที่ยวนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ "การอนุรักษ์ และคงรักษาให้คนรุ่้นหลังได้เรียนรู้"


สำหรับการเที่ยวสามชุกก็จบลงเพียงเท่านี้ และผมก็นั่งรถเข้าจังหวัดสุพรรณุบรีต่อไปครับ

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วิธีจำชื่อเต็มของ "กรุงเทพมหานคร" (tipbkk)

ต่อไปนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องเมืองกรุงเทพฯ กันบ้าง สิ้นปีแล้ว ผมจึงแนะนำวิธีการจำชื่อเต็มของกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยมาฝากครับ


ชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครมีชื่อเต็มว่า


"กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"


ทีแรกผมก็จำชื่อเต็มแบบนี้ไม่ได้ เช่นกัน จนกระทั่งมารู้จักกับเพลง "กรุงเทพมหานคร" ที่ขับร้องโดยอัสนี-วสันต์ ซึ่งเอาชื่อเต็มของกรุงเทพมาร้องเป็นทำนองเพลงเช่นนี้ครับ (คลิปเพลงโดนลบไปแล้วครับ T_T) 
และเพลงนี้เองที่ทำให้ผมสามารถจำชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครได้ ด้วยการฝึกร้องเพลงนี้ซ้ำ ๆ หลายครั้ง เพราะเนื้อร้องเพลงนี้มีแต่ชื่อเต็มของเมืองกรุงเทพที่ร้องซ้ำไปซ้ำมาจนจบเพลง เมื่อผมร้องเพลงนี้จนคล่องแล้ว ทำให้ผมจำชื่อเต็มของกรุงเทพได้ทั้งหมดแล้วครับ





แต่บางที เราอาจจะจำแบบนี้ก็ได้ (ซึ่งแบ่งวรรคตามเพลง)
"กรุงเทพมหานคร 
อมรรัตนโกสินทร์ 
มหินทรายุธยามหาดิลก-
-ภพ นพรัตนราชธานีบูรี-
-รมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน 
อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"


แต่เวลาพูดนี่ก็ระวังเรื่องการแบ่งวรรคซักนิดหนึ่ง ตรง "มหินทรายุธยามหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์" เพราะเพลงจะร้องแบบแยกวรรค แต่เป็นอันว่า ขอให้เราจำชื่อเต็มทั้งหมดได้ก็ใช้ได้


เอาล่ะ ใครยังจำชื่อเต็มไม่ได้ ลองใช้วิธีร้องเพลงนี้ดู ร้องคล่องแล้วลองไม่ดูเนื้อเพลงนะ ถ้าฝึกร้องเพลงนี้บ่อย ๆ รับรองจะจำชื่อเต็มของกรุงเทพได้แน่นอน!!


ส่วนใตครอยากรู้เรื่องที่มาที่ไป ให้เชิญอ่านได้ที่นี่ครับ
ราชบัณฑิตยสถาน: กรุงเทพมหานคร