รู้มั้ย... อบจ.เชียงรายมีอะไรน่าสนใจบ้าง
วันนี้เราไปชมอะไรบางอย่างบริเวณองค์การส่วนบริหารจังเชียงรายกันดีกว่าครับ เกริ่นแค่นี้แล้วผมเริ่มที่ "หอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปี"
ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้ทราบข่าวพิธีเปิด หอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปี ซึ่งเป็นพิพิธภันฑ์ที่เล่าประวัติของเมืองเชียงรายได้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น หอนี้ เปิดขึ้นในโอกาสที่เมืองเชียงรายครบรอบ 750 ปีนั่นเองครับ รูปที่ถ่ายนี้เป็นด้านหน้าของหอครับ
สถานที่แห่งนี้ ตั้งอยู่ถนนอุตรกิจ ด้านหลังศาลากลางเก่า ตรงข้ามกับโรงเรียนอนุบาลเชียงราย ซึ่งใกล้กับ หอนาฬิกาเก่าและตลาดเทศบาล 1 ครับ
หอที่นี่เข้าชมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ต้องถอดรองเท้าเข้าไป และห้ามถ่ายภาพครับ ภายในสถานที่จะเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ล้านนา ซึ่งยุคของเชียงรายนั้น เชียงรายถือเป็นยุคปฐมล้านนาครับ ภายในหอนี้มีอยู่ทั้งหมด 8 โซน แต่ละโซนนั้นจะเล่าเรื่องการก่อสร้างเมืองเชียงราย ซึ่งสถาปณาโดยท่านพญามังรายมหาราช และเข้าสู่ยุคต่าง ๆ จนถึงถูกพม่ายึดไป 200 ปี แล้วถูกกู้กลับรวมเข้าเป็นจังหวัดในประเทศไทยครับ ซึ่งจะมีสื่อประสมต่าง ๆ เล่าเรื่องให้ทันสมัยขึ้นครับ
ถ้าชมมาถึงโซนที่สาม ก็จะเป็นโซนเทียเตอร์ ถ้าหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมถึง 10 คนขึ้นไป ทางเจ้าหน้าที่จะเปิดแสดงภาพประวัติของการสร้างเมืองเชียงรายนั่นเองครับ เมื่อจบโซนสาม ก็จะมีการจัดแสดงรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ครับ และมีรูปปั้นพญามังรายฯแบบสีสันสดใส สวยและงดงามอย่างมากครับ
หลังจากที่ชื่นชมประวัติศาสตร์ของเชียงรายแล้ว ก็จะมีรายละเอียดของอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงรายทั้งหมด 18 อำเภอ และวัดต่าง ๆ ที่น่าสนใจในจังหวัดเชียงรายครับ เมื่อจบโซนที่เจ็ดแล้ว โซนแปดเป็นห้องสมุด ซึ่งอยู่ชั้นบนครับ
หอประวัตินี้ ใช้เวลาชมประมาณ 1 ชั่วโมง ถ้าได้ชมเทียเตอร์ก็จะเป็น 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งที่นั้นผมไม่ได้ดูครับ เพราะจำนวนคนไม่ถึง และถ้าใครมาที่จังหวัดเชียงราย ก็มาลองเข้าชมหอประวัติที่เล่าเรื่องของประวัติเมืองเชียงรายได้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นครับ เพราะที่นี่ห้ามถ่ายรูป ข้างในเป็นอย่างไร แวะไปดูเองนะครับ
แอบขอเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปตัวเองหน้าหอประวัติฯ เพื่อจารึกลงบล็อกตัวเอง (หัวเราะ) สังเกตด้านหลังของผมนะครับ ด้านขวาของผมคือ โรงเรียนอนุบาลเชียงราย และวัดที่อยู่ด้านหลังคือ "วัดกลางเวียง" หนึ่งในเส้นทาง 9 วัดเมืองเชียงรายครับ เป็นวัดที่มีศาลหลักเมืองอยู่ในวัดครับ ถ้าพูดถึงเสาสะดือเมืองจะเป็นวัดดอยงำเมืองครับ
ถ่ายรูปตัวเองเสร็จ ผมจึงเดินไปด้านหลัง ซึ่งเป็นศาลากลางเก่า ด้านหน้านี้มีอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 อยู่ครับ ตอนนี้ศาลากลางเก่า ได้ปรับปรุงเป็น "หอวัฒนธรรมนิทัศน์" ซึ่งเป็นห้องจัดนิทรรศกาลไว้อยู่ แต่ตอนนี้ปิดปรับปรุงอยู่ครับ
ด้านขวาของศาลากลางเก่า มีห้องสมุดรถไฟเชียงราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟเชียงราย เพราะจังหวัดเชียงรายยังไม่มีรถไฟใช้ครับ ในตอนนี้จังหวัดเชียงรายเรามีห้องสมุดรถไฟดังกล่าวครับ ภายในโบกี้รถไฟนั้น เป็นห้องสมุดครับ ห้องสมุดรถไฟเปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ เวลา 9 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะเป็นเวลา 10 นาฬิกาถึง 19 นาฬิกาครับ
ถ้าหากเชียงรายมีรถไฟใช้ ก็จะแยกเส้นทางจากอุตรดิตถ์ ผ่านเด่นชัย (จังหวัดแพร่) ผ่านงาว (จังหวัดลำปาง) ผ่านจังหวัดพะเยาและเข้ามาที่จังหวัดเชียงรายครับ
ก่อนจบบทความนี้ผมมีแหล่งที่มาของการเปิดหอประวัติเชียงราย และโครงการรถไฟเชียงรายมาให้ดูกันด้วยครับ
หอประวัติเชียงราย 750 ปี
-อบจ.เชียงราย เปิดหอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปีและเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ (เชียงรายโฟกัส)
- อบจ.เปิดหอประวัติเมืองเชียงราย 750 ปี (นสพ เชียงรายธุรกิจ)
โครงการรถไฟเชียงราย
- +++กระทู้ติดตามรถไฟเชียงราย ครับ.+++ (เวบบอร์ดเชียงรายโฟกัส)
- คืบหน้ารถไฟสายเด่นชัย-พะเยา-เชียงราย (พะเยารัฐ)
เรื่องราวของเชียงรายและสุพรรณบุรีนั้น ผมยังคงค้นหามาเรี่อย ๆ อย่าลืมติดตามบล็อกของผมในบทความต่อไปนะครับ
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555
สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนพิเศษ: ศรัทธาโครงการใหญ่)
นี่คือเที่ยวสุพรรณบุรีแห่งความหลังตอนพิเศษครับ หลังจากที่ผมไปเยี่ยมมังกรป่วยแล้ว ผมไปวัดป่าเลไลยก์เพื่อไปไหว้หลวงพ่อโตเสร็จ ก็มีงานหนึ่งครับ เป็นงานหล่อมือเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในโลกครับ
ผมทราบว่า ในงานนี้จะมีพิธีหล่อมือเจ้าแม่กวนอิมในตอนเย็น โดยท่าน พณฯ บรรหารจะมาเป็นประธานในพิธีครับ
สำหรับงานดังกล่าวนั้น เป็นโครงการสร้างรูปเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สูง 84 เมตร ซึ่งจะประดิษฐสถานที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งจัดโดยมูลนิธี Miracle of Life ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และสมาคมวัฒนธรรมวิธีพุทธไทย-จีน โครงการนี้ เริ่มประชาสัมพันธ์ที่จังหวัดพระนครศรีอยุทธยาเป็นจังหวัดแรก และมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรี ณ วันที่ผมมาเที่ยวพอดีครับ (คือวันที่ 21 มีนาคมครับ) สำหรับการประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้ ก็มีคลิปประชาสัมพันธ์ของจังหวัดพระนครศรีอยุทธยา ช่องเคเบิ้ล ATV ครับ (คลิปโดย pnnnews ครับ)
เสร็จเรื่องของเจ้าแม่กวนอิมแล้ว และมีอีกเรื่องของจังหวัดสุพรรณบุรีครับ ที่วัดป่าเลไลยก์ มีประชาสัมพันธ์โครงการแกะสลักหลวงพ่ออู่ทองที่ภูผา ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกันครับ
![]() |
ภาพโดย WORLD BIGGEST BUDDHA IMAGE (WBBI) |
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมขของโครงการเพระเจ้าอู่ทองนั้น สามารถดูได้บน Facebook ที่เพจ:
WORLD BIGGEST BUDDHA IMAGE (WBBI) ครับ
และหลังจากที่ผมเที่ยวในสองจุดนี้เสร็จ การท่องเที่ยวสุพรรณบุรีแห่งความหลังก็จบลง และผมก็กลับกรุงเทพฯ แล้วกลับเชียงรายก่อนสิ้นเดือนมีนาคมครับ สำหรับการเที่ยวสุพรรณในสามครั้งที่ผ่านมานั้น เดี๋ยวผมจะเรียบเรียงแล้วนำมาเขียนขึ้นมาทีหลังครับ
ปิดท้ายบทความนี้ ด้วยคลิปท่าน ว เรื่องความหมายของพระปางป่าเลไลยก์ แล้วอย่าลืมติดตามบทความการท่องเที่ยวของผมระหว่างเชียงรายและสุพรรณบุรีได้ที่บล็อกนี้ครับ สวัสดีครับ
วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555
สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 3: เยี่ยมมังกรป่วย)
เข้าสู่ตอนสุดท้ายสำหรับ "สุพรรณบุรี แห่งความหลัง" แล้วครับ หลังจากพักแรมได้หนึ่งคืนก็ตื่นมาดูทิวทัศน์ของเมืองสุพรรณบุรี หลังจากที่ผมทานข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวผมก็จะเดินทางไปมังกรเพื่อดูอาการบาดเจ็บจากเหตุพลุระเบิดในเดือนมกราคมที่ผ่านมาครับ
ก่อนที่จะไปมังกร ผมเดินทางไปแวะไว้อนุสาวรีย์พระนเรศวรมหาราชก่อนครับ ใครที่ยังไม่รู้จักที่แห่งนี้คงสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมที่นี่ถึงมีแต่ไก่ชนเต็มไปหมดน่ะครับ ก็เพราะว่า ครั้งยังที่องสมเด็จพระนเรศวรฯท่านยังทรงพระเยาว์นั้นท่านชอบเล่นไก่ชนครับ ดังนั้นชาวสุพรรณบุรีมักจะเอาไก่ชนทั้งตัวเล็กตัวใหญ่มาถวายให้ท่านดังที่เห็นครับ และผมก็เคยเอามาถวายให้ท่านตอนมาครั้งที่สองครับ
และผมก็เดินไปชมวัดไชนาวาส และก็ไปดูตลาดเช้าที่ถนนหมื่นประจญ ซึ่งมีของกินขายสดๆใหม่ๆที่นั่นครับ และตลาดนี้ก็ใกล้วัด ทำให้ผมได้พบกับพระที่มาบิณฑบาตภายในตลาดเช้าด้วยครับ
![]() |
โอ้โห!! ปลากราย SIZE ใหญ่มาก!!! |
ครับ และผมก็เข้าไปดูพระเครื่องที่ขายเช่าในวัด ผมก็ได้ขออนุญาติถ่ายภาพเพื่อเอามาเขียนลงบล็อกนี้ครับ และถามว่า ตลาดพระเครื่องใหญ่นั้นขายที่ไหน ซึ่งคุณลุงก็ตอบว่า "วัดสุวรรณภูมิ" ครับ
แล้วคุณลุงก็บอกว่า แหล่งขายเช่าพระเครื่องที่วัดดังกล่าวนั้นจะเปิดตลาดนัดทุกวันอาทิตย์ครับ และผมก็ขอขอบคุณที่เอื้อเฟื้อให้เก็บภาพมาให้ผมสามารถเล่าอธิบายได้ครับ สำหรับเรื่องนี้ ผมคิดที่จะตามหาสิ่งที่เป็นคำควัญท่อนหนี่งว่า "เลื่องลือพระเครื่อง" ทำให้ผมเข้าใจว่า สุพรรณบุรีเป็นจังหวัดที่มีแหล่งจำหน่ายพระเครื่องแหล่งใหญ่แห่งนี้ครับ ถ้าหากชาวสุพรรณบุรีอ่านอยู่ ช่วยอธิบายเกี่ยวกับการขายพระเครื่องในจังหวัดให้ด้วยนะครับ
จากนี้ไป ผมนั่งรถสองแถวไปยังมังกรครับ
ถ้าใครยังจำความได้ ตอนนั้น งานตรุษจีนในเดือนมกราคมที่่ผ่านมา สถานที่แห่งนี้ได้เกิดอุบัติเหตุพลุระเบิดด้านหลังของมังกร ซึ่งส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และความเสียหายให้กับที่อยู่อาศัยด้านหลังมังกรครับ เมื่อผมมาถึง ผมก็ยังเห็นป้ายงานตรุษจีนอยู่ครับ
ตอนนั้นผมอยู่ที่เชียงราย กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสเรื่องการฉลองเมืองเชียงรายครบรอบ 750 ปี และทราบข่าวทีหลังตอนแม่เปิดข่าวภาคดึกและมีรายงานด่วนเรื่องนี้มา ทำให้ผมตกใจและอึ้งทันที และสลดไปพักหนึ่ง พอวันที่ 25 คลิป ข่าว ภาพ ขึ้นบนทีวีและอินเตอร์เน็ต ขนาดผมยังอยู่เชียงรายยังสลดใจและใจหายครับ
หลังจากความรู้สึกแรกผ่านไป ผมก็รู้สึกว่า "มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย" เพราะผมกำลังจะเตรียมใจเข้าร่วมฉลองครบรอบ 750 ปีเมืองเชียงราย แต่ดันมาเจอเรื่องแย่ ๆ ใกล้ ๆ กันแบบนี้ ผมก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่สุพรรณบุรีเจออุบัติเหตุแบบนี้
ทำให้การเที่ยวครั้งนี้ ผมจึงไปสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น และขอเรียกเที่ยวนี้ว่า "เยี่ยมมังกรป่วย" ครับ ดูไกล ๆ แล้ว ดูเหมือนว่าทุกอย่างเคลียร์หมดเรียบร้อยแล้ว พอมองที่ไปตัวมังกร ก็เห็นรอยแตกตรงช่องท้องได้ชัดดังรูปด้านบนครับ
เมื่อไปยังบริเวณทางเข้าพิพิธภันฑ์ ก็จะเห็นเมฆมังกรมีรอยแตก และเดินไปอีกก็จะเห็นนั่งร้านตั้งไว้ เพื่อซ่อมแซมเมฆมังกรที่แตกด้วยครับ
ต่อมา ผมขึ้นไปที่ศาลา 7 ชั้น เพื่อสังเกตรอบ ๆ ข้าง ก็รู้สึกว่าทุกอย่างเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ก็มีเพียงหลังคาวัดพระธาตุที่อยู่ด้านหลังมังกรนั้นแตกกระจาย แสดงความเสียหายที่ยังหลงเหลือครับ
ผมได้ไปสอบถามผู้คนที่อยู่แถว ๆ นี้ครับ ผมจึงถามกลับไปยังเหตุการณ์พลุระเบิดครับ พวกเขาได้ตอบว่า ตอนเกิดเหตุการณ์นั้น ไม่ทันได้นึกว่าเป็นอุบัติเหตุ คิดว่าเป็นจุดพลุใหญ่เฉยๆ แต่ก็รู้สึกว่าระเบิดตอนน้ั้นเสียงดังมาก กว่าจะมารู้อีกทีก็มีเสียงรถพยาบาลเข้ามาครับ และหลังจากที่เกิดขึ้นทำให้งานตรุษจีนนี้หยุดไป 1 วัน และจัดจนหมดวันงานครับ ถึงแม้ตอนนี้ตัวมังกรจะบาดเจ็บ แต่พิพิธภันฑ์ยังเปิดให้เข้าชมตามปกติได้ครับ
ครับ ผมอาจเขียนช้าไปหน่อย แต่ก็อยากจะเล่าความรู้สึกย้อนหลังผ่านทางนี้ ผมก็กราบขออภัยด้วยครับ ทั้งหมดนี้ผมก็ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งครับ ตอนนี้ผมถืว่ามังกรยังป่วยอยู่ครับ ใครได้มาเที่ยวที่นี้แล้วสามารถบริจาคค่าซ่อมแซมได้ครับ ภายในศาลหลักเมืองนั้นมีการรับบริจาคทำบุญค่าเกล็ด เล็บ เขี้ยวมังกร และอื่น ๆ ครับ
ก่อนที่ผมออกจากที่นี่ ผมได้บอกไปยังมังกรว่า ขอให้หายดีนะ และครั้งหน้าจะมาเยี่ยมใหม่ ขอให้น้องมังกรหายไวไวนะ อีกไม่นานก็หายดีครับ แต่ถึงยังไงผมก็ขอเป็นกำลังใจครับ
แต่สำหรับสุพรรณบุรีแห่งความหลังของผมตอนนี้ ผมคาดว่ามีสามตอน แต่ยังมีอีกหนึ่งตอน ไว้ติดตามกันอีกทีคราวหน้านะครับ
วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555
ฉลองครบครอบ 1 ปี เซ็นทรัลเชียงราย
วันที่ 31 ที่ผ่านมานี้นะครับ ที่ห้างเซ็นทรัลเชียงราย ได้จัดงานฉลองครบรอบ 1 ปีแล้วครับ เมื่อวานผมได้ไปดูงานฉลองครบรอบ 1 ปีของห้างมา ภายในงานได้มีพิธีเปิดและจัดแฟชั่นโชว์ให้ดูด้วยครับ
สำหรับเซ็นทรัลเชียงรายนั้น เปิดห้างเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2554 ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็ครบรอบ 1 ปีแล้วครับ เป็นห้างสรรพสินค้าที่ออกแบบสถปัตยกรรมในรูปแบบล้านนา มี 3 ชั้น มีโรงภาพยนตร์ 5 โรงครับ
สำหรับการฉลองครบรอบ 1 ปีครั้งนี้ มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ พร้อมกับ แฟชั่นโชว์เดินแบบในหัวข้อฤดูร้อนครับ โดยมีนายแบบและนักร้องจาก KPN มาเดินแบบแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ครับ หลังจากงานนี้เปิด ก็มีกิจกรรมพิเศษตลอดเดือนเมษายนครับ
สำหรับใครอยากจะดูข้อมูลเพิ่มเติมของเซ็นทรัลเชียงราย และงานครบรอบ 1 ปี ดูได้ที่นี่ครับ
- http://www.centralplaza.co.th/chiangrai/
- https://www.facebook.com/centralplazachiangraifanpage
- 1st Anniversary Central CR
- http://www.centralplaza.co.th/ActivityDetail-th-cr_1stannimar2012.aspx
ห้างเซ็นทรัลเชียงรายเปิดได้ 1 ปีแล้ว ผมนึกถึงห้างโรบินสันสุพรรณบุรีที่พึ่งเปิดมาไม่นานมานี้เองครับ ถ้าหากโรบินสันสุพรรณบุรีฉลองครบรอบ 1 ปีเหมื่อไหร่ ผมอยากให้ชาวสุพรรณบุรีช่วยบอกผมด้วยว่างานมีวันไหน (คงจะเป็นวันที่ 2 มีนาคมครับ) ถ้ามีงานจริง ผมจะไปเที่ยวสุพรรณบุรีและเข้าร่วมงานฉลองครบรอบปีครับ
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555
สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 2: เข้าเมือง)
เสร็จแล้ว ผมก็ลงหอเพื่อเดินทางไปช็อปปื้งในห้างใหม่ คือห้างสรรพสินค้าโรบินสันสาขาสุพรรณบุรี ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมือง ติดกับถนน Super Highway ครับ แต่ตอนนี้ผมยังไม่ทราบว่าไปยังไง ผมจึงนั่งรถสองแถวพาไปยังสถานีขนส่งก่อนครับ เมื่อผมรอที่สถานีขนส่งแล้ว ผมถามคนขับรถว่า ห้างโรบินสันไปยังไง คนรถเขาบอกว่า ไปรถสองแถวที่ติดป้ายสีเขียวที่เขียนว่า "โรบินสัน" (ดูภาพด้านล่าง) ครับ
ทีแรกผมพยายามสังเกตรถที่ติดป้ายโรบินสันอยู่ แต่ยังไม่เห็นมีมา จนกระทั่งรถสองแถวคันหนึ่งได้ถามผมว่าไปไหน ผมตอบว่าไปโรบินสัน เขาก็ให้ผมขึ้นรถเลย และเขาก็ติดป้ายโรบินสันตามรูปภาพนี้แหละครับ ผมรู้สึกขอบคุณที่เจ้าของรถถามและก็รีบติดป้ายดังกล่าว และให้ผมถ่ายรูปตัวอย่างด้านบนนี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
สำหรับห้างนี้ เปิดตัวเมื่อวันที่ี่ 2 มีนาคม 2554 เป็นห้างสองชัั้น มีโรงภาพยนตร์ 4 โรงครับ ผมก็ลองเดินภายในห้างและพักผ่อนดูสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ และคลายความร้อนจากการที่เที่ยวข้างนอกมาครับ ร้อนแค่ไหนไม่หวั่น เราก็สนุกสนานไปกับกานท่องเที่ยวครับ
ก็อย่างที่บอกนะครับว่า การมาที่เดิมซ้ำ ๆ อาจจะมีเบื่อไปบ้าง แต่อย่าลืมว่า ครั้งต่อไปก็ต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปแน่นอนครับ ผมย้อนกลับไปทุกครั้งที่อยู่บ้านที่เชียงราย ผมชอบเดินถนนคนเดินบ่อยมาก ถึงแม้จะเห็นอะไรซ้ำ ๆ แต่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือเห็นสิ่งที่แตกต่างจากครั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ฝน ฟ้า อากาศ ที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเปลียนไป เช่นขึ้นดอยตุงในฤดูฝน ก็จะได้กลิ่นน้ำฝน หรือได้สัมผัสอากาศหนาวในฤดูหนาว เป็นต้นครับ
อีกประการหนึ่ง การท่องเที่ยวของผมไม่ไช่แค่การไปดูสิ่งที่น่าสนใจ นอกจากนี้แล้วคือการเข้าไปพูดคุย และสร้างความสัมพันธ์กับคนท้องถิ่น เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์นี้หายไป ก็เลยไปเที่ยวที่นั่นซ้ำ ๆ ที่เดิม และก็แลกเปลี่ยนสิ่งที่เป็นบ้านเกิดตัวเองให้กันและกัน
ถ้าย้อนกลับไปที่ตลาดสามชุก ผมได้คุ้นเคยกับป้าคนหนึ่งที่ขายอาหารตามสั่งชื่อ "ร้านน้อง-กุ้ง" ที่เคยช่วยเหลือผมในตอนเที่ยวครั้งแรกสุดครับ ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในการท่องเที่ยวครั้งนั้นมากครับ และทุกครั้งที่ผมมาที่ตลาดสามชุก ผมไม่ลืมที่จะแวะสั่งอาหารที่ร้านนี้ครับ ถ้าหากไปเที่ยวจังหวัดไหน ก็ลองไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนท้องถิ่นดูครับ แล้วจะรู้ว่า สถานที่ ๆ เราเที่ยวนั้น มากกว่าที่เรารู้จักอีกครับ
ป้ายกำกับ:
บรรหาร,
โรบินสัน,
สวนเฉลิมภัทรราชินี,
สัมพันธ์,
สุพรรณบุรี,
หอคอย,
ห้าง,
Robinson
ตำแหน่ง:
จ.สุพรรณบุรี ประเทศไทย
วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555
สุพรรณบุรี....แห่งความหลัง (ตอนที่ 1: สามชุก)
สวัสดีครับ หลังจากที่ผมห่างหายไปนาน เนื่องจากต้องใช้เวลาพักผ่้อนหลังจากที่ได้จบการศึกษาอย่างเต็มที่ในปี 2555 เป็นปีที่ดีมากที่จังหวัเชียงรายนั้นครบรอบ 750 ปี หลังจากนั้นเดือนกุมพาพันธ์ที่ผ่านมา ผมได้ลงไปหางานที่กรุงเทพฯ ซักระยะหนึ่ง แต่ทว่า เชียงรายยังคงมีงานหลาย ๆ อย่างที่อีกมากมาย และปลายเดือนนี้ผมจะกลับไปเชียงรายอีกครั้งหนึ่ง เผื่อจะได้มีโอกาสเข้าร่วมงานต่าง ๆ ของทางจังหวัด
และก่อนที่ผมจะกลับไปเชียงราย ผมก็มาแวะเที่ยวที่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นการพักผ่อนครับ ในหัวข้อ "สุพรรณบุรีแห่ง...ความหลัง"
เมื่อสองปีที่แล้ว ผมได้มาเที่ยวสุพรรณบุรีเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อวันที่ 20-21 มีนาคม 2553 ซึ่งผมได้ลองไป ตลาดสามชุก ขึ้นหอคอยบรรหารฯ ไปดูมังกรสวรรค์ และไหว้หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ และปีนี้ ผมก็กลับมาเที่ยวซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง และแน่นอนว่า การมาเที่ยวอีกครั้ง ก็จะต้องเจออะไรที่เป็นการ "เปลี่ยนแปลง" แน่นอนครับ
และนี่คือตอนที่ 1 ตอน ตลาดสามชุก ตลาดร้อยปี ที่อำเภอสามชุกครับ ผู้คนใจดี มีของฝากมากมาย เมื่อผมเข้ามาในตลาดสามชุกแห่งนี้ หลังจากที่ถ่ายหน้าป้ายเสร็จ กลิ่นขนมจีบลอยมาแต่ไกล ทีแรกผมยังไม่ทันสังเกต ก็เลยเข้าใจผิดว่าผมจมูกเพี้ยนหรือเปล่า พอหันมามองก็พบกับป้าคนนี้ครับ ป้าขายขนมจีบกล่องละ 20 บาทครับ
ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสทานขนมจีบหลังจากที่ไม่ได้ทานมานานแล้ว ขนมจีบเจ้านี้ อร่อยครับ แต่ถ้าใส่น้ำจิ้มมากเกินไปอาจจะเปรี้ยวครับ
ตลาดสามชุกที่ผมมาในครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนครับ ที่ผมสังเกตได้คือบริเวณด้านซ้ายก็จะมีหลังคาสังกะสีติดอยู่ เพราะอากาศที่นั่นร้อนก็มีการสร้างเพิ่มเติมเล็กน้อย และมีพัดลมช่วยเป่าแม่ค้าด้วยครับ
ย้อนกลับไปสังเกตที่สะพานพรประชา ซึ่งสะพานก็มีการมุงหลังคนเพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวโดนแดดครับ ซึ่งสะพานนี้ได้มีการมุงหลังคาตั้งแต่ปี 2554 มาแล้วในครั้งที่ผมไปบึงฉวากนั่นเองครับ
ตอนที่ผมมาตอนนั้นก็เที่ยงแล้ว ผมรีบเดินดิ่งตรงไปยังร้านอาหารด้านในของตลาด ก็พบการก่อสร้างใหม่ ผมได้ไปคุยกับแม่ค้าที่ร้านอาหาร ผมก็ได้คำตอบว่า อาคารไม้เดิมนั้นได้ทรุดตัวลง จึงมีการสร้างใหม่ และก็สร้างให้คล้ายกับของเดิม ผมรู้สึกประทับใจในการอนุรักษ์ของทางตลาดครับ ถึงแม้ไม้เดิมจะต้องสึกหรอไปตามกาลเวลา เมื่อสร้างไม้ใหม่ก็มีการสร้างให้เหมือนกับของเก่าแบบนี้ล่ะครับ คราวหน้าผมก็จะได้เห็นการปรับเปลี่ยนใหม่ของที่นี่ครับ
หลังจากที่ผมได้รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินดูภายในตลาดสามชุก ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดา ทำให้ตลาดดูบางตาไปเล็กน้อย แต่ก็เดินคล่องดีครับ และภาพที่เห็นด้านบนตรงนี้ก็คือ.... กุนเชียงเนื้อปลาสลิดร้านลุงพงษ์-ลงพุงครับ เป็น OTOP ที่มาจากอำเภอศรีประจันต์ แล้วมาขายที่ตลาดสามชุกแห่งนี้ด้วยครับ ผมจำได้ว่าสินค้านี้ได้เคยเอาไปขายที่งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี่เองครับ รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ แล้วซื้อมาให้แม่เอาไปทำเป็นกุนเชียงทอด กินกับข้าวต้มแล้วอร่อยมาก ๆ ครับ ถึงยังไงก็เอามาขายให้ชาวเชียงรายอีกในครั้งที่ 9 ด้วยนะครับ
ต่อมา ผมก็มาแวะเที่ยวชม "โรงแรมอุดมโชค" เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่เคยทีั่คนสมัยก่อนที่มาขายของแล้วแวะพักค้างคืน แล้วก็เลือกมาพักค้างคืนที่โรงแรมที่นี่ ปัจุจันเปิดให้เข้าชมอย่างเดียวครับ โรงแรมนี้มีโรงภาพยนตร์เล็กด้วยครับ ที่เห็นในภาพคือที่จำหน่ายบัตรเข้าชมโรงภาพยนตร์ และรูปที่อยู่ใกล้ ๆ กันก็เป็นใบปิดภาพยนตร์ในสมัยนั้นด้วยครับ
และผมก็ได้ไปเที่ยวชมในจุดต่าง ๆ ในตลาด มาแวะดับกระหายที่บ้านโค้ก และเที่ยวชมสิ่งต่าง ๆ และปิดท้ายด้วยชื่อร้านอาหารที่ชวนสังเกตคือ ร้านบหมี่สามสี ที่เขียนสโลแกนว่า "มาถึงสามชุกต้องกินบะหมี่สามสี" ผมเลยถามเจ้าของร้านว่า แล้วอีกสีนั่นหมี่อะไร ผมก็ได้คำตอบว่า มีมีเหลือง หมี่ยก และก็ "หมี่งาดำ" ครับ แต่น่าเสียดายเพราะผมทานข้าวมาแล้ว ไว้คราวหน้า ผมจะมาลองแวะชิมร้านนี้ดูครับ
หลังจากที่ผมเที่ยวสามชุกแล้ว ผมก็ได้ข้อคิดดี ๆ อย่างหนึ่งคือ "การอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรม" เพราะชาวสามชุก ได้อนุรักษ์อาคารบ้านเรือนและวิถีชีวิตชุมชนและสังคมอย่างจริงจัง ให้สมกับรางวัล UNESO ที่ได้มา เหมือนกับจังหวัดเชียงรายที่หลายฝ่ายได้ให้ความสำคัญและอนุรักษ์วัฒธรรมของเชียงราย ให้สมกับการฉลองครบรอบ 750 ปีนั่นเอง
ต่อให้สถานที่ท่องเที่ยวนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ "การอนุรักษ์ และคงรักษาให้คนรุ่้นหลังได้เรียนรู้"
สำหรับการเที่ยวสามชุกก็จบลงเพียงเท่านี้ และผมก็นั่งรถเข้าจังหวัดสุพรรณุบรีต่อไปครับ
และก่อนที่ผมจะกลับไปเชียงราย ผมก็มาแวะเที่ยวที่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นการพักผ่อนครับ ในหัวข้อ "สุพรรณบุรีแห่ง...ความหลัง"
เมื่อสองปีที่แล้ว ผมได้มาเที่ยวสุพรรณบุรีเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อวันที่ 20-21 มีนาคม 2553 ซึ่งผมได้ลองไป ตลาดสามชุก ขึ้นหอคอยบรรหารฯ ไปดูมังกรสวรรค์ และไหว้หลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ และปีนี้ ผมก็กลับมาเที่ยวซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง และแน่นอนว่า การมาเที่ยวอีกครั้ง ก็จะต้องเจออะไรที่เป็นการ "เปลี่ยนแปลง" แน่นอนครับ
และนี่คือตอนที่ 1 ตอน ตลาดสามชุก ตลาดร้อยปี ที่อำเภอสามชุกครับ ผู้คนใจดี มีของฝากมากมาย เมื่อผมเข้ามาในตลาดสามชุกแห่งนี้ หลังจากที่ถ่ายหน้าป้ายเสร็จ กลิ่นขนมจีบลอยมาแต่ไกล ทีแรกผมยังไม่ทันสังเกต ก็เลยเข้าใจผิดว่าผมจมูกเพี้ยนหรือเปล่า พอหันมามองก็พบกับป้าคนนี้ครับ ป้าขายขนมจีบกล่องละ 20 บาทครับ
ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสทานขนมจีบหลังจากที่ไม่ได้ทานมานานแล้ว ขนมจีบเจ้านี้ อร่อยครับ แต่ถ้าใส่น้ำจิ้มมากเกินไปอาจจะเปรี้ยวครับ
ตลาดสามชุกที่ผมมาในครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนครับ ที่ผมสังเกตได้คือบริเวณด้านซ้ายก็จะมีหลังคาสังกะสีติดอยู่ เพราะอากาศที่นั่นร้อนก็มีการสร้างเพิ่มเติมเล็กน้อย และมีพัดลมช่วยเป่าแม่ค้าด้วยครับ
ย้อนกลับไปสังเกตที่สะพานพรประชา ซึ่งสะพานก็มีการมุงหลังคนเพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวโดนแดดครับ ซึ่งสะพานนี้ได้มีการมุงหลังคาตั้งแต่ปี 2554 มาแล้วในครั้งที่ผมไปบึงฉวากนั่นเองครับ
ตอนที่ผมมาตอนนั้นก็เที่ยงแล้ว ผมรีบเดินดิ่งตรงไปยังร้านอาหารด้านในของตลาด ก็พบการก่อสร้างใหม่ ผมได้ไปคุยกับแม่ค้าที่ร้านอาหาร ผมก็ได้คำตอบว่า อาคารไม้เดิมนั้นได้ทรุดตัวลง จึงมีการสร้างใหม่ และก็สร้างให้คล้ายกับของเดิม ผมรู้สึกประทับใจในการอนุรักษ์ของทางตลาดครับ ถึงแม้ไม้เดิมจะต้องสึกหรอไปตามกาลเวลา เมื่อสร้างไม้ใหม่ก็มีการสร้างให้เหมือนกับของเก่าแบบนี้ล่ะครับ คราวหน้าผมก็จะได้เห็นการปรับเปลี่ยนใหม่ของที่นี่ครับ
หลังจากที่ผมได้รับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เดินดูภายในตลาดสามชุก ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง เนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดา ทำให้ตลาดดูบางตาไปเล็กน้อย แต่ก็เดินคล่องดีครับ และภาพที่เห็นด้านบนตรงนี้ก็คือ.... กุนเชียงเนื้อปลาสลิดร้านลุงพงษ์-ลงพุงครับ เป็น OTOP ที่มาจากอำเภอศรีประจันต์ แล้วมาขายที่ตลาดสามชุกแห่งนี้ด้วยครับ ผมจำได้ว่าสินค้านี้ได้เคยเอาไปขายที่งานเทศกาลเชียงรายดอกไม้งามครั้งที่ 8 ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี่เองครับ รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ แล้วซื้อมาให้แม่เอาไปทำเป็นกุนเชียงทอด กินกับข้าวต้มแล้วอร่อยมาก ๆ ครับ ถึงยังไงก็เอามาขายให้ชาวเชียงรายอีกในครั้งที่ 9 ด้วยนะครับ
ต่อมา ผมก็มาแวะเที่ยวชม "โรงแรมอุดมโชค" เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่เคยทีั่คนสมัยก่อนที่มาขายของแล้วแวะพักค้างคืน แล้วก็เลือกมาพักค้างคืนที่โรงแรมที่นี่ ปัจุจันเปิดให้เข้าชมอย่างเดียวครับ โรงแรมนี้มีโรงภาพยนตร์เล็กด้วยครับ ที่เห็นในภาพคือที่จำหน่ายบัตรเข้าชมโรงภาพยนตร์ และรูปที่อยู่ใกล้ ๆ กันก็เป็นใบปิดภาพยนตร์ในสมัยนั้นด้วยครับ
และผมก็ได้ไปเที่ยวชมในจุดต่าง ๆ ในตลาด มาแวะดับกระหายที่บ้านโค้ก และเที่ยวชมสิ่งต่าง ๆ และปิดท้ายด้วยชื่อร้านอาหารที่ชวนสังเกตคือ ร้านบหมี่สามสี ที่เขียนสโลแกนว่า "มาถึงสามชุกต้องกินบะหมี่สามสี" ผมเลยถามเจ้าของร้านว่า แล้วอีกสีนั่นหมี่อะไร ผมก็ได้คำตอบว่า มีมีเหลือง หมี่ยก และก็ "หมี่งาดำ" ครับ แต่น่าเสียดายเพราะผมทานข้าวมาแล้ว ไว้คราวหน้า ผมจะมาลองแวะชิมร้านนี้ดูครับ
หลังจากที่ผมเที่ยวสามชุกแล้ว ผมก็ได้ข้อคิดดี ๆ อย่างหนึ่งคือ "การอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรม" เพราะชาวสามชุก ได้อนุรักษ์อาคารบ้านเรือนและวิถีชีวิตชุมชนและสังคมอย่างจริงจัง ให้สมกับรางวัล UNESO ที่ได้มา เหมือนกับจังหวัดเชียงรายที่หลายฝ่ายได้ให้ความสำคัญและอนุรักษ์วัฒธรรมของเชียงราย ให้สมกับการฉลองครบรอบ 750 ปีนั่นเอง
ต่อให้สถานที่ท่องเที่ยวนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ "การอนุรักษ์ และคงรักษาให้คนรุ่้นหลังได้เรียนรู้"
สำหรับการเที่ยวสามชุกก็จบลงเพียงเท่านี้ และผมก็นั่งรถเข้าจังหวัดสุพรรณุบรีต่อไปครับ
ป้ายกำกับ:
ตลาด,
ร้อยปี,
สามชุก,
สุพรรณบุรี
ตำแหน่ง:
อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วิธีจำชื่อเต็มของ "กรุงเทพมหานคร" (tipbkk)
ต่อไปนี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องเมืองกรุงเทพฯ กันบ้าง สิ้นปีแล้ว ผมจึงแนะนำวิธีการจำชื่อเต็มของกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยมาฝากครับ
ชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครมีชื่อเต็มว่า
"กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"
ทีแรกผมก็จำชื่อเต็มแบบนี้ไม่ได้ เช่นกัน จนกระทั่งมารู้จักกับเพลง "กรุงเทพมหานคร" ที่ขับร้องโดยอัสนี-วสันต์ ซึ่งเอาชื่อเต็มของกรุงเทพมาร้องเป็นทำนองเพลงเช่นนี้ครับ (คลิปเพลงโดนลบไปแล้วครับ T_T)
และเพลงนี้เองที่ทำให้ผมสามารถจำชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครได้ ด้วยการฝึกร้องเพลงนี้ซ้ำ ๆ หลายครั้ง เพราะเนื้อร้องเพลงนี้มีแต่ชื่อเต็มของเมืองกรุงเทพที่ร้องซ้ำไปซ้ำมาจนจบเพลง เมื่อผมร้องเพลงนี้จนคล่องแล้ว ทำให้ผมจำชื่อเต็มของกรุงเทพได้ทั้งหมดแล้วครับ
แต่บางที เราอาจจะจำแบบนี้ก็ได้ (ซึ่งแบ่งวรรคตามเพลง)
"กรุงเทพมหานคร
อมรรัตนโกสินทร์
มหินทรายุธยามหาดิลก-
-ภพ นพรัตนราชธานีบูรี-
-รมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน
อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"
แต่เวลาพูดนี่ก็ระวังเรื่องการแบ่งวรรคซักนิดหนึ่ง ตรง "มหินทรายุธยามหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์" เพราะเพลงจะร้องแบบแยกวรรค แต่เป็นอันว่า ขอให้เราจำชื่อเต็มทั้งหมดได้ก็ใช้ได้
เอาล่ะ ใครยังจำชื่อเต็มไม่ได้ ลองใช้วิธีร้องเพลงนี้ดู ร้องคล่องแล้วลองไม่ดูเนื้อเพลงนะ ถ้าฝึกร้องเพลงนี้บ่อย ๆ รับรองจะจำชื่อเต็มของกรุงเทพได้แน่นอน!!
ส่วนใตครอยากรู้เรื่องที่มาที่ไป ให้เชิญอ่านได้ที่นี่ครับ
ราชบัณฑิตยสถาน: กรุงเทพมหานคร
ชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครมีชื่อเต็มว่า
"กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"
ทีแรกผมก็จำชื่อเต็มแบบนี้ไม่ได้ เช่นกัน จนกระทั่งมารู้จักกับเพลง "กรุงเทพมหานคร" ที่ขับร้องโดยอัสนี-วสันต์ ซึ่งเอาชื่อเต็มของกรุงเทพมาร้องเป็นทำนองเพลงเช่นนี้ครับ (คลิปเพลงโดนลบไปแล้วครับ T_T)
และเพลงนี้เองที่ทำให้ผมสามารถจำชื่อเต็มของกรุงเทพมหานครได้ ด้วยการฝึกร้องเพลงนี้ซ้ำ ๆ หลายครั้ง เพราะเนื้อร้องเพลงนี้มีแต่ชื่อเต็มของเมืองกรุงเทพที่ร้องซ้ำไปซ้ำมาจนจบเพลง เมื่อผมร้องเพลงนี้จนคล่องแล้ว ทำให้ผมจำชื่อเต็มของกรุงเทพได้ทั้งหมดแล้วครับ
แต่บางที เราอาจจะจำแบบนี้ก็ได้ (ซึ่งแบ่งวรรคตามเพลง)
"กรุงเทพมหานคร
อมรรัตนโกสินทร์
มหินทรายุธยามหาดิลก-
-ภพ นพรัตนราชธานีบูรี-
-รมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน
อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์"
แต่เวลาพูดนี่ก็ระวังเรื่องการแบ่งวรรคซักนิดหนึ่ง ตรง "มหินทรายุธยามหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์" เพราะเพลงจะร้องแบบแยกวรรค แต่เป็นอันว่า ขอให้เราจำชื่อเต็มทั้งหมดได้ก็ใช้ได้
เอาล่ะ ใครยังจำชื่อเต็มไม่ได้ ลองใช้วิธีร้องเพลงนี้ดู ร้องคล่องแล้วลองไม่ดูเนื้อเพลงนะ ถ้าฝึกร้องเพลงนี้บ่อย ๆ รับรองจะจำชื่อเต็มของกรุงเทพได้แน่นอน!!
ส่วนใตครอยากรู้เรื่องที่มาที่ไป ให้เชิญอ่านได้ที่นี่ครับ
ราชบัณฑิตยสถาน: กรุงเทพมหานคร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)